วิกฤติภูมิอากาศที่โลกเผชิญอยู่หนักหน่วงเกินกว่าที่หลายคนคาดคิด ทั้งคลื่นความร้อน ปัญหาน้ำท่วมใหญ่ ภัยแล้งรุนแรง และไฟป่าที่โหมกระหน่ำ สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวง แม้หลายประเทศทั่วโลกเข้าร่วมข้อตกลงปารีส เพื่อควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 2 องศาเซลเซียส และพยายามจำกัดไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรม แต่จากการบันทึกข้อมูลพบว่าตั้งแต่ต้นปี 2567 จนถึงเดือน มี.ค.2568 อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงขึ้นถึง 1.75 องศาเซลเซียส ดังนั้น ความร่วมมือในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศยิ่งต้องเข้มข้นขึ้น ทั้งในระดับเวทีโลก และในระดับของแต่ละประเทศวันเสาร์สบายๆวันนี้ผมจะเล่าถึงความสำเร็จที่จับต้องได้ในการผสานความร่วมมือทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ด้วยการปลูกป่าชุมชน ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม ดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ สร้างคาร์บอนเครดิตส่งมอบให้เอกชน เกิดรายได้กลับสู่ชุมชนมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ องค์กรที่มีประสบการณ์ยาวนานเกือบ 4 ทศวรรษในการฟื้นฟูป่าและพัฒนาคน เพิ่งจัดงาน MFLF Sustainability Forum 2025 ภายใต้หัวข้อ “วิกฤติโลก ทางออกไทย” เพื่อระดมความคิดและหาทางออกด้านความยั่งยืนให้กับประเทศไทย หนึ่งในวาระสำคัญของเวทีนี้คือ การส่งมอบ “คาร์บอนเครดิตจากป่าชุมชน” เฟสแรกจำนวน 43,123 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งเป็นปริมาณคาร์บอนเครดิตจากโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าที่มากที่สุดที่เคยมีการส่งมอบในประเทศไทย และมากกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ถึง 4 เท่า คาร์บอนเครดิตที่ส่งมอบครั้งนี้มาจากโครงการ “คุณดูแลป่า เราดูแลคุณ” ดำเนินมาตั้งแต่ปี 2564 เฟสแรกครอบคลุมพื้นที่ 12 โครงการ จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และพะเยา โดยส่งมอบให้แก่ 7 องค์กรเอกชน ประกอบด้วย บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ บมจ.คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ บมจ.ทีเอ็มที สตีล บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี และ PwC ประเทศไทยความสำเร็จนี้อาศัยความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และเครือข่ายป่าชุมชน ตั้งอยู่บนรากฐาน “ปลูกป่าปลูกคน” ที่มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯสานต่อร่วมกับกรมป่าไม้ และภาคเอกชนกว่า 30 ราย ซึ่งทำต่อเนื่องหลายเฟส ตลอด 5 ปีที่ผ่านมาฟื้นฟูป่าชุมชนแล้วกว่า 250,000 ไร่ มีครัวเรือนเข้าร่วมกว่า 45,000 ครัวเรือน หรือกว่า 130,000 คน พลังของผู้คนเหล่านี้คือเกราะกำบังไม่ให้ป่าถูกทำลาย และเป็นแรงงานสำคัญในการสร้างมูลค่าคาร์บอนเครดิตที่ตลาดโลกต้องการรายได้ที่เกิดขึ้นจากการขายคาร์บอนเครดิตนี้ถูกส่งตรงคืนสู่ชุมชนราว 55% นำไปจัดตั้งกองทุนดูแลป่าและพัฒนาอาชีพ คนในหมู่บ้านจึงมีงบประมาณไปสร้างแนวกันไฟ ทำฝายชะลอน้ำ ปลูกป่าเสริม รวมถึงต่อยอดอาชีพ เช่น ผลิตภัณฑ์จากไม้ไผ่ กลุ่มเลี้ยงโค หรือการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เมื่อคนเลี้ยงป่า ป่าก็เลี้ยงคนสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพียงช่วยลดก๊าซเรือนกระจก แต่เป็นโมเดลการพัฒนาที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ ทั้งชุมชนมีรายได้ ภาคเอกชนได้ชดเชยการปล่อยก๊าซ ภาครัฐได้เครื่องมือแก้ปัญหาฝุ่นควันและโลกร้อน ธรรมชาติได้ฟื้นคืนความสมบูรณ์แม้เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวทำให้บางบริษัทลดการสนับสนุนการดูแลพื้นที่ป่า แต่โครงการนี้ยังคงเดินหน้าต่อ และตั้งเป้าว่าภายในปีหน้าจะเพิ่มพื้นที่โครงการอีก 100,000-200,000 ไร่ พร้อมสร้างคาร์บอนเครดิตได้อีกมหาศาล.ลมกรดคลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม