อุทกภัยและน้ำเค็มซ้ำซากปัญหา หนักใจมานาน “ใน อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช” ที่สร้างผลกระทบต่อพื้นที่การเกษตร และวิถีชีวิตประชาชนต้องเผชิญความเสี่ยงที่ยากจะหลีกเลี่ยง ได้ในทุกฤดูกาลโชคดีที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก “ในหลวงรัชกาลที่ 9” มีพระราชดำริแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้งในพื้นที่จัดตั้งโครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เข้ามาช่วยบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ และปัจจุบันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ทรงสืบสาน รักษา และต่อยอดโครงการเหล่านี้ ทำให้ปัญหาน้ำท่วม และภัยแล้งลดลงจนช่วยให้ชาวบ้านประกอบอาชีพได้อย่างมั่นคง “สนง.กปร.” จึงจัดสื่อมวลชนสัญจรสืบสานพระราชดำริปี 2568 นำสื่อมวลชนเยี่ยมชมโครงการพระราชดำริที่เป็นต้นแบบการบริหารจัดการน้ำ และการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน จ.นครศรีธรรมราช กิตติพงษ์ รองเดช นายอำเภอปากพนัง เล่าว่าคนปากพนังประกอบอาชีพเกษตรหลากหลายอย่าง “ฝั่งตะวันตก” เน้นเพาะปลูกส้มโอทับทิมสยาม ปาล์มน้ำมัน มะพร้าว การทำไร่นาสวนผสม “ฝั่งตะวันออก” เน้นอาชีพเกี่ยวข้องกับประมง และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเช่นนี้การส่งเสริมการเกษตร “อำเภอปากพนัง” จึงได้น้อมนำแนวทางพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาใช้ในการพัฒนาด้านการเกษตรกรรม โดยเฉพาะหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อส่งเสริมเกษตรกรทำเกษตรแบบผสมผสาน และลดการปลูกพืชเชิงเดี่ยว เพื่อกระจายความเสี่ยงและสร้างความมั่นคงในอาชีพ ตัวอย่างเช่น “อัมพร สวัสดิ์สุข” จากศูนย์เรียนรู้สวนส้มโอทับทิมสยามที่ได้นำแนวทางเกษตรผสมผสานมาใช้ปลูกส้มโอ แต่แซมพืชผักสวนครัว พืชสมุนไพร ไม้ผลชนิดอื่น ทำให้มีรายได้หลายทางลดความเสี่ยงการปลูกพืชชนิดเดียว เพราะหากพืชชนิดใดราคาตกต่ำเกษตรกรก็ยังมีรายได้จากพืชชนิดอื่นมาช่วยพยุงครัวเรือนยิ่งกว่านั้นนับแต่ “โครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังฯ” เข้ามาถือเป็นจุดเปลี่ยนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการจัดการน้ำจืด และน้ำเค็มให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะประตูระบายน้ำอุทกวิภาชประสิทธิ สามารถช่วยควบคุมแยกการไหลน้ำจืดกับน้ำเค็ม และลดความเสียหายจากน้ำท่วมที่เกิดขึ้นเป็นประจำ ทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ “การกักเก็บน้ำในช่วงหน้าแล้ง” อันเป็นปัจจัยต่อการประกอบอาชีพของคนในพื้นที่ แล้วการดำเนินงานนี้ยังเกิดจากความร่วมมือระหว่างกรมชลประทาน ภาคีเครือข่ายในพื้นที่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบอย่างเป็นเอกภาพผลที่ตามมาคือ พี่น้องประชาชนสามารถทำการเกษตรได้อย่างมั่นคงยั่งยืนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเพาะปลูก การเลี้ยงสัตว์น้ำ ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงพระมหากรุณาธิคุณ และสายพระเนตรอันยาวไกลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงวางรากฐานในการพัฒนาที่ยั่งยืนให้กับประชาชนอย่างแท้จริงขณะที่ อัมพร สวัสดิ์สุข ศูนย์เรียนรู้สวนส้มโอทับทิมสยาม เล่าว่า เดิมพื้นที่ตัวเองเคยใช้ทำนาข้าวแต่ไม่ค่อยได้ผลเนื่องจากปัญหาน้ำท่วม จนกระทั่งมีโครงการพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 เข้ามาพัฒนาแหล่งน้ำจัดตั้งโครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังฯ “ปัญหาน้ำท่วมก็หมดไป” ชาวบ้านใช้ชีวิตได้ดีความเป็นอยู่มั่นคงมากยิ่งขึ้นด้วยน้อมนำแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ “เน้นใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่าแต่ไม่อยู่อย่างเพียงพอ” ซึ่งหมายถึงว่าเราจะไม่หยุดอยู่กับที่ยังคงต้องพัฒนา และต่อยอดให้ชีวิตเป็นอยู่ที่ดี ก่อนที่จะได้รับโอกาสเข้ามาร่วมในโครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังฯ และทดลองทำแปลงเกษตรผสมผสานขนาดครัวเรือน 3 ไร่ สำหรับกิจกรรมหลักคือ “ทดลองปลูกส้มโอ” ในช่วงเริ่มต้นปลูกส้มโอพันธุ์ทองดีจนได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดที่ จ.นครปฐม และต่อมาก็นำพันธุ์ส้มโอพื้นเมือง อ.ยะรัง จ.ปัตตานี มาทดลองปลูก 3 ต้น แม้เดิมจะมีรสเปรี้ยว ขม แต่พอนำมาปลูกในดินปากพนังที่มีแคลเซียมสูง ทำให้รสชาติเปลี่ยนเป็นหวานได้ผลผลิตคุณภาพสูงแล้วด้วยความพิเศษของเนื้อในที่มีสีแดงเหมือนทับทิม และเปลือกนอกที่เป็นสีเขียวจึงถูกตั้งชื่อใหม่ว่า “ส้มโอทับทิมสยาม” กลายเป็นผลิตภัณฑ์ของดีเป็นความภาคภูมิใจของคนปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช“โครงการพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 เข้ามาทำให้สถานการณ์น้ำได้รับการจัดการอย่างเป็นระบบจากเดิมน้ำเคยท่วมขังเป็นแรมเดือนก็ถูกจัดการได้ใน 10 วัน ส่งผลให้ชาวบ้านปรับเปลี่ยนจากทำนาข้าวมาสู่ทำสวนส้มโอมีรายได้อย่างยั่งยืน หากวันนั้นไม่มีพระองค์ท่านวันนี้คนปากพนังก็คงไม่มีโอกาสมีชีวิตที่ดีเช่นนี้” อัมพรว่า ในส่วน สุพร ตรีนรินทร์ เลขาธิการ กปร. บอกว่า พื้นที่ภาคใต้ กปร.ดำเนินโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริผ่านศูนย์หลัก 1 แห่ง ศูนย์สาขา 5 แห่ง และศูนย์เรียนรู้ 36 แห่ง ครอบคลุม 14 จังหวัด ทำหน้าที่เป็นแหล่งถ่ายทอดองค์ความรู้และขยายผลแนวทางการพัฒนาไปสู่ชุมชนน้อมนำแนวพระราชดำริไปประยุกต์ใช้ในการดำรงชีวิตอีกภารกิจสำคัญคือ “การส่งเสริม และพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน” เมื่อเกษตรกรมีผลผลิตตามแนวทางโครงการ กปร.จะสนับสนุนจดแจ้งทะเบียน อย.ผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่น และจดแจ้งสถานที่ประกอบการให้ถูกต้อง ทั้งสนับสนุนด้านการตลาด พร้อมติดตามประเมินผลหากพบจุดควรปรับปรุงก็จะนำไปพัฒนาให้เหมาะสมโครงการใดประสบความสำเร็จก็ต่อยอดขยายไปพื้นที่อื่น เพื่อให้ประชาชนรับประโยชน์ทั้งเศรษฐกิจ ความรู้ อาชีพ คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น “ด้วย กปร.ยึดตามพระราชปณิธานสืบสาน รักษา และต่อยอด” โดยเฉพาะโครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังฯ ครอบคลุม 2.2 ล้านไร่ใน 13 อำเภอของ จ.นครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา สำหรับโครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังฯ แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ตอนบน ตอนกลาง และตอนล่าง แต่ละส่วนมีปัญหาต่างกัน เช่น น้ำเปรี้ยว น้ำเค็ม การขาดแคลนน้ำจืด “กปร.” จึงเข้ามาบูรณาการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบในการบริหารจัดการน้ำ ช่วยลดผลกระทบน้ำเค็ม น้ำท่วมขัง ทำให้ประชาชนประกอบอาชีพได้อย่างมั่นคงปัจจุบันได้บูรณาการทำงานร่วมกับหน่วยงานภาคีกว่า 36 หน่วยงาน เพื่อให้การดำเนินงานครอบคลุมและตรงจุดที่สุด เน้นการพัฒนาแบบมีส่วนร่วม เพื่อให้ประชาชนสามารถพึ่งพาตนเองได้แล้วเพื่อให้การดำเนินงานต่อเนื่องขยายผลได้ทั่วถึง “กปร.” ได้จัดตั้งศูนย์เรียนรู้ในพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง 16 แห่ง ทำหน้าที่เป็นแหล่งถ่ายทอดองค์ความรู้ แสดงผลสำเร็จ และสร้างแรงบันดาลใจให้ชุมชนโดยรอบด้วยนี่คือผลจากการดำเนินงาน “โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ” ที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาให้ชาวบ้านในพื้นที่สามารถลืมตาอ้าปาก มีรายได้ที่มั่นคง และดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีได้อย่างแท้จริง.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม