มีคำกล่าวถึง “โซเชียลมีเดีย” ในยุคปัจจุบันว่า เปรียบเสมือนอาคารที่สามารถเกิดไฟไหม้ได้ตลอดเวลา และคนที่เข้าไปเยี่ยมชมล้วนมีสิทธิได้รับอันตรายไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง โดยไม่สนเพศหรืออายุจึงเป็นที่มาของความพยายามหาหนทางรับมือของรัฐบาลในประเทศต่างๆว่าจะดำเนินการเช่นไรดี ซึ่งบางครั้งถือเป็นเรื่องที่สายเกินไป เพราะอย่างช่วงการถือกำเนิดของ “อินเตอร์เน็ต” เมื่อหลายทศวรรษที่ผ่านมา ก็มีคนอย่างน้อย 1 เจเนอเรชัน ที่เติบโตมาด้วยเทคโนโลยีดังกล่าว ก่อนที่สังคมค่อยมาทราบปัญหาและรับรู้ผลกระทบที่ตามมา และเริ่มมีการออกกฎหมายมาควบคุม อย่างกฎหมายปกป้องเด็กจากเนื้อหาออนไลน์ของสหรัฐฯในปี 2541 หรือกฎหมายควบคุมไม่ให้ผู้เยาว์เข้าถึงเนื้อหาทางออนไลน์ที่ไม่เหมาะสมผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สาธารณะของสหรัฐฯในปี 2543 ซึ่งล้วนแต่เป็นกฎหมายที่เกิดขึ้นหลังจากที่มีการใช้อินเตอร์เน็ตกันอย่างแพร่หลายเป็นเวลากว่า 10-15 ปีแน่นอนว่าสำหรับประเทศจีน มองล่วงหน้าไปก่อนแล้วว่า อินเตอร์เน็ตของต่างชาติและการมาถึงของโซเชียลมีเดียต่างชาติอาจส่งผลกระทบเช่นไรต่อสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง จึงมีการสร้างกำแพงไฟร์วอลเมืองจีน เพื่อการควบคุมและสร้างสภาพแวดล้อมออนไลน์ของประเทศตัวเองตั้งแต่เมื่อ 27 ปีก่อนขณะที่ประเทศอื่นๆในค่ายที่เรียกกันว่า “โลกเสรี” ได้มองไปในทางตรงกันข้าม เนื่องจากโซเชียลมีเดียเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่มาต่อยอดอินเตอร์เน็ต สร้างความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต ให้เพื่อนฝูงคนรู้จักรับรู้เรื่องราว โดยไม่ต้องมานัดเจอกันบ่อยๆ แต่สุดท้ายถึงมาเริ่มตระหนักว่า เหรียญย่อมมีสองด้าน ดาบย่อมมีสองคมผลวิจัยหลายๆช่องทางเริ่มบ่งชี้ผลกระทบจากโซเชียลมีเดีย เช่น การปฏิเสธความจริง การขาดความทนทานต่อทัศนคติเชิงลบ การเข้าสังคมในชีวิตจริง ไม่รวมถึงปัญหาการก่ออาชญากรรม การต้มตุ๋นหลอกลวง การสวมรอยบัญชี จวบจนคดีละเมิดทางเพศผู้เยาว์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลออสเตรเลียได้เปิดเผยรายละเอียดของกฎหมายห้ามผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 16 ปีใช้โซเชียลมีเดีย ซึ่งจะมีผลบังคับในวันที่ 10 ธ.ค.ปีนี้ เพื่อบังคับให้บริษัทผู้ดูแลแพลตฟอร์มต่างๆพัฒนาระบบควบคุมอายุผู้ใช้งานอย่างจริงจัง มิฉะนั้นจะมีบทลงโทษ ที่รวมถึงค่าปรับราว 32 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 1,024 ล้านบาท หากพบว่ามีการล่วงละเมิดกฎหมายกันอย่างเป็นระบบสำหรับโซเชียลมีเดียที่เข้าข่ายนั้น จะเป็นแพลตฟอร์มที่มีจุดประสงค์การใช้งานหลากหลายรูปแบบ เช่น เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ติ๊กต่อก แต่จะไม่รวมถึงแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่มีจุดประสงค์การใช้งานเพียงอย่างเดียว เช่น แพลตฟอร์มเพื่อการติดต่อสื่อสาร เพื่อการศึกษา หรือเพื่อการเล่นเกมออนไลน์ล้วนๆระเบียบที่โซเชียลมีเดียต้องปฏิบัติตามคือ การตรวจสอบ ระงับบัญชี หรือลบบัญชีโซเชียลมีเดีย ของผู้ใช้อายุต่ำกว่า 16 ปีที่มีอยู่เดิมในระบบ และทางบริษัทต้องชี้แจงด้วยความระมัดระวังและมีความชัดเจนแก่ผู้ใช้ว่าทำไมบัญชีถึงต้องถูกปิดหรือลบ แต่ระเบียบมิได้ให้ความชัดเจนเรื่องข้อมูลเนื้อหาในบัญชีเหล่านั้นจะยังอยู่เหมือนเดิม เพื่อให้ผู้ใช้เล่นต่อได้หลังอายุครบตามเกณฑ์หรือไม่บริษัทโซเชียลมีเดียยังมีหน้าที่ในการป้องกันการลงทะเบียนสมัครใช้งานใหม่ หรือความพยายามหาวิธีหลบเลี่ยงเพื่อเปิดบัญชีใหม่ของผู้ใช้อายุต่ำกว่า 16 ปีที่บัญชีได้ถูกระงับหรือลบทิ้งไป ซึ่งหมายความว่าบริษัทต้องวางมาตรการเพื่อสกัดการใช้ระบบ VPN ปกปิดตัวตนว่าอยู่ในออสเตรเลียแพลตฟอร์มที่เข้าข่ายอยู่ภายใต้กฎหมายควบคุมฉบับนี้ จะต้องดำเนินการเพื่อให้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด และหลีกเลี่ยงการสร้างความไม่พอใจแก่ผู้ใช้งาน ทั้งยังต้องหาทางเลือกอื่นๆในการยืนยันตัวตน เช็กอายุผู้ใช้งาน จะมาพึ่งการใช้บัตรประชาชนยืนยันตัวตนเพียงอย่างเดียวไม่ได้ พร้อมหลีกเลี่ยงการทำระบบใหม่แบบง่ายๆ เช่นการถามว่าคุณอายุเกิน 16 ปีใช่หรือไม่ อย่างไรก็ตาม ระเบียบใหม่ของออสเตรเลียยังเปิดช่องแก่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียที่มีอายุต่ำกว่า 16 ปี โดยระบุว่า ผู้ใช้ยังสามารถเล่นโซเชียลได้โดยไม่ต้องล็อกอิน อย่างการดูโซเชียลผ่านเว็บไซต์ หรือการดูช่องยูทูบ หรือสามารถดูโซเชียลมีเดียผ่านบัญชีของผู้ปกครองหรือผู้ใหญ่ และที่สำคัญรัฐบาลออสเตรเลียไม่ได้ต้องการให้บริษัทโซเชียลมีเดียวางระบบควบคุมอายุแบบครอบคลุม ตรวจสอบอายุของผู้ใช้งาน “ทุกคน” ที่มีอยู่ในระบบหากข้อมูลเก่าของบริษัทยืนยันว่าผู้ใช้งานคนนั้นๆอายุเกิน 16 ปีไปแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมีการตรวจสอบใหม่ หรือหากเทคโนโลยีสแกนใบหน้าของบริษัทมองว่า หน้าตาของผู้ใช้งานรายนี้ “แก่เกินอายุจริง” เช่นอายุไม่ถึง 16 ปีแต่หน้าตาเกินอายุ 16 ปี ก็อาจอนุโลมให้ยังใช้บัญชีต่อไปได้ในกรณีเกิดความผิดพลาด ก็ใช่ว่ารัฐบาลจะลงโทษในทันทีทันควัน ต้องมีการประสานงานพูดคุยถึงปัญหา เพื่อให้บริษัทดำเนินการปรับปรุงแก้ไข แต่ขณะเดียวกันรัฐบาลออสเตรเลียจะไม่ชี้แนวทาง กำหนดทิศทางว่าควรทำเช่นไร บริษัทต้องวางกลยุทธ์คิดค้นระบบ สร้างเครื่องมือตรวจสอบขึ้นมาด้วยตัวเองย้ำอีกครั้งว่ากฎหมายบังคับใช้ในวันที่ 10 ธ.ค. ไม่มีเวลาให้ยกข้ออ้างเพื่อหาทางไม่ปฏิบัติตามอีกต่อไป.วีรพจน์ อินทรพันธ์คลิกอ่านคอลัมน์ “7 วันรอบโลก” เพิ่มเติม