กัมพูชายังส่งโดรนสอดแนมไทยต่อเนื่อง ล่าสุด ทภ.2 ระบุคืนเดียวพบในพื้นที่แนวชายแดนกว่า 70 ลำ ที่ อ.พนมดงรัก ชาวบ้านชี้บินต่ำกว่าปกติ ทำให้อยู่อย่างหวาดผวา ได้แต่วอนกองทัพ-รัฐบาลเร่งมือจัดการปัญหาเขตแดนให้จบเป็นอันดับแรก รวมถึงยึด “ปราสาทตาควาย” กลับคืนมา ด้านศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติระบุช่วง ปฏิบัติการเฟส 2 พื้นที่ “ภูมะเขือ-ช่องอานม้า-ช่องบก” เก็บกู้ทุ่นระเบิดสังหารฯได้อีก 227 ทุ่น ระเบิดชนิดอื่นอีกเพียบ ขณะที่รองโฆษก บก.ทท.ย้ำจากนี้ไปกัมพูชาจะมาเที่ยวปราสาทตาเมือนธมต้องมีพาสปอร์ต ทำวีซ่าผ่าน ตม.เท่านั้น ส่วน “ฮุน เซน” ถ้าบินมาจะถูกจับคาสนามบินหรือคาด่านความเคลื่อนไหวตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ตลอดวันที่ 14 ก.ย.ยังคงสงบเรียบร้อย หลังจากช่วงค่ำวันที่ 13 ก.ย.ที่ผ่านมา มีประชาชนในหลายพื้นที่ของ จ.สุรินทร์ พบโดรนปริศนาคาดว่าเป็นของทหารกัมพูชา บินเข้ามาสอดแนมในหลายพื้นที่หลายสิบลำ โดยเฉพาะในพื้นที่ อ.พนมดงรัก ชาวบ้านพบโดรนบินต่ำหลายจุดจนสามารถได้ยินเสียงโดรนบินชัดเจน พร้อมกับมีไฟกะพริบหลายสีให้เห็น สร้างความหวาดระแวงให้กับชาวบ้านในพื้นที่ ต่างนอนไม่หลับในระยะนี้ หวั่นว่าทหารกัมพูชาจะใช้โดรนบินมาหย่อนระเบิดนางสาวราตรี งอกงาม ชาวบ้าน ม.17 บ.ไทยนิยมพัฒนา ต.บักได อ.พนมดงรัก เป็นหมู่บ้านที่อยู่ใกล้กับปราสาทตาควาย บอกว่าได้ยินเสียงโดรนบินและเห็นไฟของโดรนกัมพูชาบินหลายลำผิดปกติ ช่วงเวลาประมาณสามทุ่ม ต่างจากก่อนหน้านี้มักจะพบเห็นช่วงหัวค่ำเป็นไฟกะพริบสีเขียวสีแดงหลายสี ผิดปกติช่วงที่มีข่าวทหารกัมพูชาเข้ามาประชิดชายแดนจำนวนมาก ชาวบ้านอยู่อย่างหวาดระแวง ยางก็กรีดไม่ได้เหมือนก่อน ปกติไปกรีดยางเที่ยงคืน ช่วงนี้ไปตีสี่ตีห้า ขาดรายได้ไปเยอะ อยากให้แม่ทัพภาคที่ 2 มาจัดการให้จบๆ ตามที่เคยสัญญาไว้จะจัดการชายแดนให้จบก่อนเกษียณ ชาวบ้านรอไม่ไหวแล้วยอมอดอยาก ขอให้จัดการชายแดนให้จบเร็วๆ โดยเฉพาะปราสาทตาควายให้เอาคืนมาให้ได้ทั้งหมดชาวบ้านรายนี้ยังกล่าวฝากถึงนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล ด้วยว่า ที่บอกว่าจะไม่ให้เสียแผ่นดินแม้แต่ตารางเซนติเมตรเดียวก็ให้รีบมา ชาวบ้านชายแดนรอไม่ไหวแล้ว ชาวบ้านมีความต้องการแบบเดียวกันคือให้จัดการปัญหาเขตแดนชายแดนเป็นอันดับแรก ส่วนการเปิดด่านยังไม่อยากให้เปิดสงสารทหารที่มาอยู่ในป่านานแล้ว กัมพูชาเชื่อใจไม่ได้ชาวบ้านยอมอดอยาก ทุกวันนี้ก็อดอยู่แล้ว แต่ให้รีบจัดการเรื่องแผ่นดินให้จบโดยเร็วด้วยขณะที่ พล.ต.วันชนะ สวัสดี รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย (บก.ทท.) เดินทางไปที่ปราสาทตาเมือนธม ต.บ้านตาเมียง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ บันทึกคลิปวิดีโอและโพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัว ชื่อ “Wanchana Sawasdee” เป็นคลิปวิดีโอและภาพถ่าย ระบุว่า “ตอนนี้อยู่ที่ปราสาทตาเมือนธม เลวร้ายนิดหนึ่ง ก็คือต่อไปนี้ถ้ากัมพูชาจะมาเที่ยวปราสาทตาเมือนธม ถ้าขั้นเลวร้ายสุดเลยก็คือคุณต้องขึ้นเครื่องบินมาที่ไทย ต้องมีพาสปอร์ต ผ่าน ตม.นี่คือแบบเลวร้ายสุด ถ้าดีหน่อยคือเราอาจจะมีการผ่านแดนตรงนี้เป็นแบบผ่านเข้า-ออกเป็นวีซ่ารายวันได้ ถึงอย่างไรก็ตาม ต้องมีวีซ่ามีการปั๊มบัตรเข้า-ออก ไม่ใช่ว่าผ่านได้แบบเมื่อก่อนแล้ว” ในคลิปวิดีโอยังเห็นทหารกัมพูชาจับกลุ่มดูอยู่ไกลๆบริเวณเขตแดนหลังต้นขี้เหล็กด้วยนอกจากนี้ พล.ต.วันชนะยังโพสต์ข้อความระบุว่า “นอกจากภูมะเขือแล้ว ปราสาทตาเมือนธม จากนี้ไปกัมพูชาจะเข้ามาแบบเมื่อก่อนไม่ได้แล้วนะ ต้องทำวีซ่านะจ๊ะ ผ่าน ตม.เข้ามา ส่วนฮุน เซน ถ้ามาทางการบินก็จะถูกจับคาสนามบิน ถ้าเดินเท้าเข้ามาก็จะถูกจับคาด่านเลยจ้า”ต่อมาศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 สรุปสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ประจำวันที่ 14 ก.ย.ณ เวลา 14.00 น. ตรวจพบความเคลื่อนไหวของฝ่ายกัมพูชาในบางพื้นที่ ตรวจพบโดรนในพื้นที่ตอนใน 8 ครั้ง 6 ลำ พื้นที่แนวชายแดน 35 ครั้ง 74 ลำ ส่วนใหญ่ตรวจพบระยะไกลนอกเขตพื้นที่ควบคุมการตัดสัญญาณ ปัจจุบันกองกำลังทั้ง 2 ฝ่าย ยังคงวางกำลังตามแนวที่มั่นของตนเอง ฝ่ายไทยจัดกำลังพลประจำจุดเฝ้าตรวจตามเหตุการณ์ เพื่อติดตามความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม และเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติตอบโต้ตามสถานการณ์ด้าน พ.อ.ศิวะ หว่างอากาศ โฆษกศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ รายงานชุดปฏิบัติการเก็บกู้และกวาดล้าง สนับสนุนกองทัพภาคที่ 2 ในพื้นที่ภูมะเขือ ช่องอานม้า ช่องบก ในห้วงหลังจากประกาศหยุดยิง มีภารกิจในการสำรวจ เก็บกู้และทำลาย เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในพื้นที่ที่หน่วยปฏิบัติภารกิจลาดตระเวน ได้อย่างต่อเนื่อง โดยการปฏิบัติที่ผ่านมาได้จัด 9 ชุดปฏิบัติการ (เฟส 1) ในห้วงวันที่ 10-23 ส.ค.2568 สามารถเก็บกู้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลได้จำนวน 122 ทุ่น ทุ่นระเบิดต่อต้านยานพาหนะ 4 ทุ่น สรรพาวุธระเบิดที่ยังไม่ระเบิด จำนวน 50 รายการ สรรพาวุธระเบิดที่ถูกทิ้งไว้ในพื้นที่จำนวน 1,575 รายการต่อมาในห้วง 29 ส.ค.-21 ก.ย.68 ได้จัดชุดปฏิบัติการเพิ่มจำนวน 10 ชุด (เฟส 2) สามารถเก็บกู้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลได้จำนวน 227 ทุ่น สรรพาวุธระเบิดที่ยังไม่ระเบิด จำนวน 25 รายการ สรรพาวุธระเบิดที่ถูกทิ้งไว้ในพื้นที่ จำนวน 467 รายการ (ยอดจำนวน ณ วันที่ 11 ก.ย.2568) ปฏิบัติการในพื้นที่เดียวกันกับเฟส 1 นอกจากการปฏิบัติการเก็บกู้กวาดล้างและทำลายในพื้นที่ที่เกิดการปะทะ และพื้นที่ที่ส่งผลกระทบต่อพลเรือนแล้วยังมีการปฏิบัติภารกิจการแจ้งเตือนและให้ความรู้แก่กลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบเพื่อให้ทราบถึงอันตรายจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคล สรรพาวุธระเบิดที่ยังไม่ระเบิด อาจตกค้างอยู่ในพื้นที่พักอาศัย และพื้นที่ทำกินของประชาชนส่วนที่ จ.สระแก้ว พื้นที่รับผิดชอบกองทัพภาคที่ 1 ช่วงเช้าวันเดียวกัน กองกำลังบูรพา หน่วยเฉพาะกิจอรัญประเทศ ชุดควบคุมกรมทหารพรานที่ 12 กองพันทหารม้าที่ 30 และเจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์ ด่านกักกันสัตว์สระแก้ว ตรวจพบสินค้าบริโภคจำนวนมากซุกซ่อนอยู่ภายในไร่อ้อยบริเวณบ้านหนองปรือ หมู่ 7 ต.ผ่านศึก อ.อรัญประเทศ จากการตรวจสอบสินค้าดังกล่าวเป็นอาหารจำเป็นต่อการดำรงชีวิต อาทิ นมผง น้ำกระเทียมดอง น้ำตาลกรวด ไส้ขม ฯลฯ ทั้งหมดถูกห่อหุ้มด้วยถุงดำถูกซุกซ่อนไว้อย่างแนบเนียน คาดว่าสินค้าเหล่านี้ถูกนำมาซ่อนไว้เพื่อเตรียมลักลอบนำออกไปกัมพูชา ที่กำลังเผชิญกับวิกฤติขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรง เจ้าหน้าที่ประสานเจ้าหน้าที่ด่านศุลกากรอรัญประเทศ เพื่อมาตรวจสอบและนำสินค้าทั้งหมดไปดำเนินการตามกฎหมายต่อไปขณะที่บ้านหนองจาน ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ภาพรวมตลอดวันที่ 14 ก.ย.สถานการณ์ยังเป็นปกติ และมีคนดังในโลกโซเชียลเดินทางมามอบสิ่งของและให้กำลังใจกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่เฝ้าระวังตามแนวชายแดนอย่างต่อเนื่อง อาทิ “กัน จอมพลัง” นำกล้องส่องทางไกลรุ่นใหม่ ที่สามารถบันทึกภาพและวิดีโอได้ มามอบให้ทหารและตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) เพื่อใช้ในการสอดส่องและเฝ้าระวังการรุกล้ำอธิปไตย ขณะที่บรรยากาศทั่วไปยังเต็มไปด้วยความคึกคักด้วยมีประชาชนจำนวนมากจากทั้งในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียงหลั่งไหลเข้ามาต่อเนื่อง รวมถึงมีการรวมกลุ่มร้องเพลงชาติไทยและเพลงปลุกใจเสียงดังสนั่น เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่ทหารและตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ในแนวชายแดนบริเวณบ้านหนองจานอย่างไม่ย่อท้อวันเดียวกัน ซูเปอร์โพลเผยผลสำรวจเรื่อง เสียงประชาชนต่อการเปิดด่านไทย-กัมพูชา จากกลุ่มตัวอย่าง 1,158 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 12-13 ก.ย.2568 พบว่าประชาชนไทยมองข้อเสียของการเปิดด่านไทย-กัมพูชา มีมากกว่าข้อดี ทั้งในมิติความรู้สึกศักดิ์ศรีและจิตใจคนไทย ร้อยละ 60.7 มิติทางเศรษฐกิจ ร้อยละ 57.8 มิติความมั่นคง ร้อยละ 56.9 และมิติด้านสาธารณสุข ร้อยละ 48.1ทั้งนี้ เกินครึ่งหนึ่ง หรือร้อยละ 58.9 ตัดสินชัดเจนว่าข้อเสียมากกว่า อีกทั้งยังยืนยันว่าความมั่นคงของชาติต้องมาก่อน ร้อยละ 75.4 และสะท้อนความไม่เชื่อมั่นในผู้นำกัมพูชาอย่างชัดเจน ร้อยละ 77.1 นอกจากนี้ ร้อยละ 77.1 ระบุว่ามีความเชื่อมั่นน้อยถึงไม่เชื่อมั่นเลยต่อความจริงใจของผู้นำกัมพูชาในการแก้ไขปัญหาชายแดน มีเพียงร้อยละ 12.1 ที่เชื่อมั่นค่อนข้างมากถึงมากที่สุด และร้อยละ 10.8 อยู่ในระดับปานกลาง ตัวเลขนี้ชี้ว่าปัญหาความไว้วางใจต่อผู้นำประเทศเป็นอุปสรรคสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้การเปิดด่านถูกมองในเชิงลบมากกว่าบวกอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่