กลายเป็นประเด็นคึกคักในแวดวงความมั่นคงยุโรป หลังเกิดเหตุฝูงโดรนรัสเซียล่วงล้ำน่านฟ้าโปแลนด์ จนเป็นเหตุให้มีการเปิดระบบต่อต้านอากาศยานยิงสกัดกั้นจากการตรวจสอบพบว่าฝูงโดรน (ซึ่งทางการรัสเซียปฏิเสธ) เป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการโจมตีจุดยุทธศาสตร์ทางการทหารทั่วประเทศยูเครน และกลุ่มที่หลุดเข้ามาในน่านฟ้าของโปแลนด์นั้น มีเป้าหมายการโจมตีในพื้นที่ภาคตะวันตกของยูเครนกรณีนี้ทำให้รัฐบาลโปแลนด์ตัดสินประกาศมาตรา 4 ตามสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) ที่ระบุว่าชาติสมาชิกนาโตสามารถใช้สิทธินัดประชุมสภานาโตอย่างเป็นทางการ เพื่อหารือและขอความเห็นว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นภัยคุกคามต่อความเป็นปึกแผ่นของดินแดนและความมั่นคงของประเทศหรือไม่สรุปใจความก็คือเป็นมาตราเพื่อขอนัดประชุม ซึ่งไม่เหมือนกับมาตรา 5 ที่มีความน่าวิตกกังวลมากกว่า เนื่องจากมาตรา 5 คือการป้องกันตนเองขั้นสูงสุด การที่ประเทศสมาชิกหนึ่งถูกโจมตีถือเป็นการโจมตีต่อประเทศสมาชิกทั้งหมด และทุกคนจำเป็นต้องให้การช่วยเหลือ ซึ่งอาจรวมถึงการใช้กำลังทางทหารนับตั้งแต่องค์การนาโตถูกจัดตั้งขึ้นในปี 2492 มาตรา 4 เคยมีการประกาศมาแล้ว 7 ครั้ง อย่างโปแลนด์ก่อนหน้านี้ก็เคยขอใช้มาตรา 4 ในปี 2557 หลังจากรัสเซียเข้าผนวกคาบสมุทรไครเมีย ส่วนกลุ่มชาติยุโรปตะวันออกก็เคยขอใช้มาตรา 4 ในช่วงเริ่มต้นของสงครามยูเครนเมื่อปี 2565มาตรา 4 ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับรัสเซียเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเหตุการณ์อื่นๆที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง อย่างตุรกีในปี 2558 ที่ขอใช้มาตราดังกล่าว เพื่อหารือสถานการณ์ก่อการร้ายที่เกี่ยวข้องกับอิรักและซีเรียส่วนผลลัพธ์จากการใช้มาตรา 4 นั้น มักจะออกมาเป็นข้อสรุปทางการเมือง มีการออกแถลงการณ์ร่วม หรือการวางนโยบายใหม่ของชาติสมาชิก ซึ่งจะเกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้องกับการทหารก็ได้สำหรับกรณีของโปแลนด์ครั้งนี้ ทางฝรั่งเศส เยอรมนี และเดนมาร์ก รับปากว่าจะส่งเครื่องบินรบของตัวเอง รวมถึงอาวุธยุทโธปกรณ์อื่นๆ เพิ่มเข้าไปในโปแลนด์ เพื่อรับมือกับภัยคุกคามของโดรนรัสเซีย และถึงรัสเซียจะจงใจหรือไม่จงใจก็ตาม ทางนาโตก็จำเป็นจะต้องแสดงปฏิกิริยาตอบโต้.ตุ๊ ปากเกร็ดคลิกอ่านคอลัมน์ “หน้าต่างโลก” เพิ่มเติม