นับตั้งแต่ระบบสถาบันกษัตริย์ถูกยกเลิกอย่างสิ้นเชิงเมื่อปี 2551 ประเทศ “เนปาล” ได้อยู่ภายใต้ขั้วอิทธิพลทางการเมือง 3 กลุ่ม คือ กลุ่มพรรคการเมืองเก่า กลุ่มการเมืองคอมมิวนิสต์มาร์กซิสต์–เลนิน และกลุ่มคอมมิวนิสต์เหมาเจ๋อตง โดยที่ฝ่ายหลังสุดอยู่ในสถานะฝ่ายค้านแต่สำหรับชาวบ้านทั่วไปมองว่าสุดท้ายแล้วทุกกลุ่มคือพวกเดียวกัน จนเกิดการโหยหาผู้ที่จะมาแก้ไขความคาราคาซังของการที่นักการเมืองเดิมๆสมคบคิดตกลงผลประโยชน์กันหลังฉากเป็นที่มาของคลื่นลูกใหม่อย่าง “บาเลน ชาห์” อดีตแรปเปอร์ผู้เชี่ยวชาญการใช้โซเชียลมีเดียวัย 35 ปี ที่ชนะการเลือกตั้งนายก เทศมนตรีกรุงกาฐมาณฑุ หรือพรรคการเมืองใหม่ “พรรคเอกราชแห่งชาติ” รัสตียา สวาตันตรา ของผู้ประกาศข่าวชื่อดัง “ราบี ลามิชานี” วัย 49 ปี ซึ่งทำให้การครองสัดส่วนเก้าอี้ในสภาผู้แทน ราษฎรของ 3 ขั้วอำนาจเก่าลดลงจาก 237 เสียง (จากทั้งหมด 275 เสียง) เหลือ 199 เสียง ในการเลือกตั้งปี 2565 ที่ผ่านมาและนำไปสู่การตัดสินใจตอบโต้ รัฐบาลเนปาลผ่านร่างกฎหมายควบคุมการใช้โซเชียลมีเดียเตรียมไว้ในปี 2566 ก่อนที่นายกรัฐมนตรีชาร์มา โอลี จะนำมาประกาศใช้งานจริง แบนโซเชียลมีเดีย 26 แพลตฟอร์ม เมื่อวันที่ 5 ก.ย.2568 ซึ่งรวมถึงวอทส์แอพ อินสตาแกรม เฟซบุ๊ก โทษฐานไม่ยอมมาขึ้นทะเบียนกับกระทรวงสื่อสารและเทคโนโลยีตามเส้นตายที่ทางการกำหนดไว้กลายเป็นเชื้อไฟของความวุ่นวายในช่วงวันที่ 8-9 ก.ย. เกิดเหตุผู้ชุมนุมคนรุ่นใหม่ออกมาเผาบ้านเผาเมือง ทำลายอาคารสถานที่ราชการ รัฐสภา บ้านนักการเมือง ลามไปจนถึงสถานที่ของเอกชน อย่างโรงแรมฮิลตัน กาฐ มาณฑุที่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ท่ามกลางเสียงแสดงความยินดี ตะโกนโห่ร้องชัยชนะ เราจะไม่ยอมถูกปั่นหัวหลอกลวงอีกต่อไป และการคอร์รัปชันจะต้องถูกทำลายวิกรม เพาเดล นักศึกษาด้านการโรงแรม ที่เข้าร่วมการประท้วงครั้งนี้ เปิดเผยกับสำนักข่าวต่างประเทศว่า ทีแรกไม่มั่นใจว่าจะออกไปชุมนุมดีหรือไม่ แต่หลังจากเห็นโพสต์ต่างๆ เต็มโซเชียลมีเดียไปหมด เลยบังเกิดความรู้สึกว่าไม่มีทางเลือกอื่น ต้องออกไปกับเขาบ้าง รัฐบาลคิดว่าการแบนโซเชียลมีเดียจะปิดปากเราได้ โดยลืมไปว่าพวกเรารู้เยอะว่าพวกมันโกงกินกันแค่ไหน ปล้นชาติอย่างไร มีความยินดีที่มีส่วนร่วมในความเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกับอิชิตา เศรษฐา พนักงานต้อนรับในร้านอาหารวัย 26 ปี ที่ให้ความเห็นว่า แม้รุ่นเราหลายคนจะไม่มีงานทำ แต่คนรุ่นเก่าลืมไปว่าเรามีพลังของโซเชียลมีเดีย นี่คืออาวุธของเรา ส่วนการชุมนุมประท้วงที่ไปร่วมนั้นเป็นไปอย่างสันติ แต่จู่ๆก็มีคนถูกยิงเสียชีวิต สถานการณ์เลยลุกลามบานปลายอย่างไม่คาดคิด อย่างไรก็ตาม ผู้ประท้วงหลายคนต่างยอมรับว่า กระแสต่อต้านรัฐบาลไม่ได้เกิดขึ้นแค่วันสองวัน แต่เป็นเวลาสักพักใหญ่นานหลายเดือน อย่างติ๊กต่อกหรืออินสตาแกรมจะเต็มไปด้วยการเปิดโปงชีวิตอันหรูหราของเหล่านักการเมืองและลูกหลาน แสดงให้เห็นบ้านหลังใหญ่โต รถยนต์หรู นาฬิกาแพง พร้อมแฮชแท็ก #NepoKids ทายาทของพวกมีอันจะกิน จากนั้นจึงเริ่มมีแฮชแท็กใหม่ๆอย่างคำว่า “ประท้วงเนปาล” “การประท้วง ของเจนซี” “พิทักษ์เนปาล” “พิทักษ์โซเชียลมีเดีย” ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดให้เห็นกันเต็มฟีดนานก่อนที่การประท้วงจะมาจุดติดในต้นเดือน ก.ย.แน่นอนว่าหากดูตามธรรมชาติของการชุมนุมประท้วงแล้ว แทบจะไม่มีครั้งใดที่ “พลังบริสุทธิ์” จะประสบความสำเร็จในการทำเรื่องใหญ่อย่างการโค่นล้มรัฐบาล ฉันใดฉันนั้นกับสถานการณ์ในประเทศเนปาลที่มีการชี้เป้าไปยังองค์กรอิสระ NGO ชื่อ “ฮามี เนปาล” ก่อตั้งโดย “สุดัน กูรัง” อดีตนักจัด อีเวนต์วัย 38 ปี ที่ผันตัวมาเป็นอินฟลูเอนเซอร์บริจาคของช่วยเหลือชาวบ้าน ว่าเป็นหนึ่งในตัวละครที่ช่วยบริหารจัดการชุมนุมอย่างเป็นระบบนัดเวลาสถานที่การชุมนุม ชูสโลแกนนักศึกษาและคนเจนซีต่อต้านคอร์รัปชัน ผ่านเพจเฟซบุ๊กอย่างเพจ GenZ Nepal ปล่อยคลิปวิดีโอให้คำแนะนำวิธีการประท้วง การนำสิ่งของที่จำเป็นติดตัวมา รวมถึงการถ่ายวิดีโอเก็บหลักฐานเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อนำไปฟ้องประชาคมโลก สร้างกระแสกดดันรัฐบาลจากนานาชาติ โดยที่ไม่ต้องมารับรู้ว่ากลุ่มฮามี เนปาล ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มนักธุรกิจอย่างดีพัก พัตตา ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดซื้ออาวุธกองทัพอย่างไม่โปร่งใส หรือสุลาฟ อากราวัล ประธานบริษัทพลังงาน สังกัด “ชังเกอร์ กรุ๊ป” เครือธุรกิจยักษ์ใหญ่ที่รวม 40 บริษัทด้านเหล็ก ยานยนต์ ประกันภัย พลังงานน้ำ เหมือง และภาคการบริการ ซึ่ง เคยถูกทางการจับกุมฐานกักตุน ปั่นราคา และนำเครื่องวัดอุณหภูมิไปปล่อยในตลาดมืดช่วงสถานการณ์โควิด-19สถานการณ์ในตอนนี้ นายกรัฐมนตรีเนปาลได้ลาออกจากตำแหน่งไปแล้ว ยกเลิกการแบนโซเชียลมีเดียแล้ว มีกองทัพเข้ามารักษาความสงบเป็นที่เรียบร้อย พร้อมเป็นตัวกลางทำหน้าที่ประสานงานระหว่างผู้ประท้วงกับรัฐบาลที่ยังหลงเหลืออยู่เพื่อจัดตั้งอำนาจใหม่ เพียงแต่กำลังมีปัญหาติดขัดตรงที่กลุ่มการชุมนุมต่างๆอยู่ระหว่างทะเลาะกันเอง เนื่องจากต่างกลุ่มต่างมองว่าตัวเองคือพลังขับเคลื่อนที่นำมาซึ่งชัยชนะกลายเป็นห้วงเวลาของการต่อรองกันในระดับ “แกนนำ” ขณะที่เหล่าไพร่พลที่แห่กันออกมา ก็ต้องกลับไปใช้ชีวิต ทำมาหากินบน “ซากปรักหักพัง” ที่ตัวเองเป็นคนสร้างขึ้น โดยไม่ได้นึกถึงว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นและกำลังจะตามมา ย่อมส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ในทางใดทางหนึ่งอย่างแน่นอน.วีรพจน์ อินทรพันธ์คลิกอ่านคอลัมน์ “7 วันรอบโลก” เพิ่มเติม