สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ยกระดับสิทธิประโยชน์ระบบ “บัตรทอง” ด้วยการนำเทคโนโลยี “ปัญญาประดิษฐ์ (AI)” เข้ามาช่วยวิเคราะห์ภาพเอกซเรย์ทรวงอก ถือเป็นบริการการแพทย์ขั้นสูงที่ช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการวินิจฉัยโรคได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้นความสำคัญของการ “เอกซเรย์ทรวงอกด้วย AI” ที่ว่านี้ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในระยะแรกนำร่องใน “โรงพยาบาลรัฐ” กว่า 167 แห่งทั่วประเทศ เพื่อประเมินผลและประสิทธิภาพก่อนที่จะขยายผลไปสู่โรงพยาบาลอื่นๆในอนาคตประเด็นสำคัญเพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการ ด้วยว่าการนำ AI มาใช้ช่วยให้สามารถตรวจคัดกรองโรคสำคัญๆ เช่น “วัณโรค” และ “มะเร็งปอด” ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยเฉพาะในพื้นที่ที่ขาดแคลนแพทย์รังสีวิทยา หรือในโรงพยาบาลที่มีภาระงานสูง ซึ่งช่วยลดระยะเวลาในการรอคอยและทำให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ทันท่วงทีลงลึกในรายละเอียด การประชุมบอร์ด สปสช. ครั้งที่ 7/2568 (7 ก.ค.2568) ได้มีมติเห็นชอบให้ “บริการอ่านภาพรังสีทรวงอก (chest x–ray) ด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI)” เป็นสิทธิประโยชน์บริการการแพทย์ขั้นสูงสุดในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) และ...สนับสนุนให้เกิดการใช้นวัตกรรมดังกล่าวจากบัญชีนวัตกรรมไทยในโรงพยาบาลภาครัฐ จำนวน 167 แห่ง ในวงเงินไม่เกินจำนวน 55 ล้านบาท ของปีงบประมาณ 2568 และให้ดำเนินการขยายบริการตามศักยภาพในปีถัดๆไปสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) บอกว่า การเลือกโรงพยาบาล 167 แห่งแรกในการให้บริการจะใช้กลไกการมีส่วนร่วมจากกระทรวงสาธารณสุข, คณะแพทยศาสตร์ศิริราช มหาวิทยาลัยมหิดล, ราชวิทยาลัยรังสีแพทย์แห่งประเทศไทย และหน่วยงานวิชาการที่เกี่ยวข้อง ที่มาของสิทธิประโยชน์บริการนี้ สืบเนื่องจากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ร่วมกับบริษัท เพอเซ็ปทรา จำกัด (Perceptra) พัฒนานวัตกรรมการวิเคราะห์ภาพรังสีทรวงอกด้วยปัญญาประดิษฐ์และได้รับการรับรองจากราชวิทยาลัยรังสีแพทย์แห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และ Singapore FDA ตลอดจนขึ้นทะเบียนเป็นผลิตภัณฑ์ในบัญชีนวัตกรรมไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้วต่อมา...ได้ทำข้อเสนอมายังสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ให้สนับสนุนการใช้งานระบบปัญญาประดิษฐ์ดังกล่าวในโรงพยาบาลจำนวน 887 แห่ง ไม่รวมโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ทั้งนี้ การดำเนินการแบ่งเป็น 3 ระยะ เพื่อให้ดำเนินการได้ตามเป้าหมายอย่างครอบคลุมภายใน 3 ปี...ระยะแรก...ปีงบประมาณ 2568 สปสช.สนับสนุนบริการในโรงพยาบาลจำนวน 167 แห่ง ใช้งบประมาณจำนวน 55 ล้านบาทต่อปี ระยะที่สอง...ปีงบประมาณ 2569 สนับสนุนบริการในโรงพยาบาลจำนวน 445 แห่ง ใช้งบประมาณจำนวน 135 ล้านบาทต่อปี และ ระยะที่สาม...ปีงบประมาณ 2570 สนับสนุนบริการในโรงพยาบาลจำนวน 887 แห่ง ใช้งบประมาณอีกจำนวน 225 ล้านบาทต่อปีสมศักดิ์ ย้ำว่า บริการนี้จะช่วยเพิ่มการเข้าถึงการรักษาโรคที่เป็นปัญหาสุขภาพ โดยเฉพาะวัณโรคและมะเร็งปอด รวมถึงลดภาระงานการอ่านภาพรังสีทรวงอกของแพทย์ ทั้งในโรงพยาบาลขนาดเล็กที่ขาดผู้เชี่ยวชาญ และโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีภาระงานจำนวนมากที่สำคัญ...ยังเป็นการสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่พัฒนาในประเทศไทยที่มีมาตรฐานสากลด้วยตอกย้ำ...“AI”...ทำหน้าที่เป็นเหมือนผู้ช่วยแพทย์ในการอ่านผลเอกซเรย์เบื้องต้น ทำให้แพทย์มีเวลามากขึ้นในการดูแลผู้ป่วยและวินิจฉัยเคสที่ซับซ้อนได้อย่างเต็มที่ “ระบบ AI” สามารถประมวลผลและวิเคราะห์ภาพจำนวนมหาศาลได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ซึ่งช่วยลดโอกาสในการวินิจฉัยผิดพลาดและช่วยให้สามารถตรวจพบความผิดปกติได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นนพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เสริมว่า หลังจากนี้ ทาง สปสช.จะประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำภาพถ่ายรังสีทรวงอกมาทบทวนย้อนหลัง 5 ปี เพื่อค้นหาผู้ป่วยเดิมที่อาจจะยังไม่ได้รับการรักษาจากผลการวินิจฉัยในขณะนั้น...นำผู้ป่วยกลุ่มนี้เข้ามารับการรักษาที่โรงพยาบาลรวมถึง...วิเคราะห์ประสิทธิภาพของระบบนอกจากนี้ สปสช.จะร่วมกับหน่วยวิชาการที่เกี่ยวข้องถอดบทเรียนการดำเนินงาน ผลลัพธ์ และประสบการณ์ของการให้บริการในปีแรก เพื่อเป็นแนวทางการดำเนินการในปีที่ 2 ตลอดจน พิจารณาด้านภาระงบประมาณ อีกทั้งจะจัดทำประกาศหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการจ่ายค่าบริการ พร้อมกับกำหนดพื้นที่เป้าหมายร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กองวัณโรค กรมควบคุมโรค, สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์, ราชวิทยาลัยรังสีแพทย์แห่งประเทศไทย คณะกรรมการพัฒนาระบบสุขภาพ (Service Plan) สาขาต่างๆ ของกระทรวงสาธารณสุข ฯลฯ“เมื่อมีการใช้ AI มาช่วยคุณหมออ่านภาพ x–ray แล้ว เชื่อว่าจะช่วยให้สามารถพบและนำผู้ป่วยวัณโรค เข้าสู่กระบวนการรักษาได้เพิ่มขึ้นอีกจำนวนมาก เพื่อลดจำนวนผู้ป่วยวัณโรค ซึ่งเป็นอีกปัญหาสำคัญด้านสาธารณสุขของไทยมาอย่างยาวนาน” นพ.จเด็จ เลขาธิการ สปสช. กล่าวทิ้งท้าย.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม