การสร้างเรื่องโกหกอย่างต่อเนื่อง โกหกซ้ำ ซาก โกหกสะเปะสะปะ ทำให้คำพูดของผู้นำรัฐบาลกัมพูชาหมดความน่าเชื่อถือในสังคมโลกและวันนี้คำพูดโกหกของผู้นำรัฐบาลกัมพูชา เพื่อหลอกลวงชาวกัมพูชาให้อพยพกลับบ้านทำให้แรงงานชาวกัมพูชานับแสนรายไม่เชื่อถือคำพูดของผู้นำรัฐบาลอีกต่อไปเพราะสิ่งที่ผู้นำกัมพูชาสัญญาไว้ ตรงข้ามกับความจริงอย่างสิ้นเชิง!! “แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่าฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ชาวกัมพูชาตาสว่างทั้งประเทศ คือ การที่ “ฮุน เซน” และ “ฮุน มาเนต” ประกาศเรียกร้องให้แรงงานชาวกัมพูชาที่ทำงานในประเทศไทยรีบอพยพกลับบ้านโดยรัฐบาลกัมพูชาได้เตรียมจัดหางานรองรับแรงงานกลับบ้านไว้จำนวนมากชาวกัมพูชาที่อพยพกลับบ้านทุกคนจะมีงานมั่นคง มีรายได้ดีกว่าที่ทำงานในเมืองไทยเสียด้วย(แถมปล่อยข่าวลือว่าใครไม่ยอมอพยพกลับบ้านจะถูกยึดที่ดินทำกินเป็นการลงโทษ)ทำให้แรงงานชาวกัมพูชาตื่นแตกแหกกระเชอรีบอพยพกลับบ้านเป็นจำนวนมากแต่กลับไปแล้วรัฐบาลกัมพูชาไม่มีงานให้ทำอย่างที่โฆษณา ชวนเชื่อทำให้แรงงานชาวกัมพูชากว่าแสนห้าหมื่นคนที่อพยพกลับบ้านต้องผิดหวังกันทั่วหน้าล่าสุด แรงงานกัมพูชาหลายหมื่นคนกำลังดิ้นรนหาทางกลับมาทำงานเมืองไทยเพราะอยู่เมืองไทยไม่อดอยากปากแห้งมีงานมั่นคง มีรายได้ดี แถมมีเงินเหลือส่งกลับบ้านแต่จะกลับเข้าเมืองไทยได้อย่างไร เพราะด่านข้ามแดนทุกแห่งห้ามคนกัมพูชาเดินทางเข้าประเทศไทยแถมช่องทางธรรมชาติที่เคยใช้ลักลอบเข้าเมืองไทยก็ใช้ไม่ได้การที่แรงงานชาวกัมพูชาหนึ่งแสนห้าหมื่นคนหลงเชื่อคำโฆษณาให้อพยพกลับบ้าน จึงเป็นการตัดสินใจผิดพลาดสรุปว่าแม้แรงงานชาวกัมพูชาถูกหลอกให้อพยพกลับบ้านจะมากถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นคนแต่ยังมีแรงงานชาวกัมพูชาที่ไม่เชื่อคำหลอกลวงและสมัครใจทำงานในเมืองไทยต่อไปอีกกว่าสี่แสนคน“แม่ลูกจันทร์” มองว่าโอกาสที่แรงงานชาวกัมพูชาที่อพยพกลับบ้านจะได้กลับมาทำงานเมืองไทยอีกครั้ง...คงไม่ง่ายแน่นอน!!เพราะความขัดแย้งครั้งนี้รุนแรงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาการจะรื้อฟื้นความสัมพันธ์จะต้องใช้เวลาอีกหลายปีข้อสำคัญ ต้องมีแรงงานต่าง ชาติจากเมียนมา ลาว เวียดนามทดแทนแรงงานกัมพูชาที่กลับบ้านไปนอกจากนี้รัฐบาลไทยยังเปิดนำเข้าแรงงานชาวศรีลังกา เนปาล อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เข้ามาเติมแรงงานในส่วนที่ขาดไปคาดว่าจะใช้เวลาอีกไม่เกิน 2 เดือน ปัญหาแรงงานขาดแคลนจะจบลงสรุป แรงงานชาวกัมพูชาที่ไม่อพยพกลับบ้านถือว่าโชคดีโชคดี...ที่ไม่หลงเชื่อคำโกหกของฮุน เซน.แม่ลูกจันทร์คลิกอ่านคอลัมน์ “สำนักข่าวหัวเขียว” เพิ่มเติม