นับเป็นห้วงเวลาสำคัญของการชี้ชะตาว่า ทิศทางสถานการณ์ความขัดแย้งใน “ยูเครน” ที่ยืดเยื้อมาเป็นเวลากว่า 3 ปีจะเดินไปทางใด หรือมีบทสรุปเช่นไร หลังจากตัวละครสำคัญในศึกครั้งนี้ คือ “สหรัฐอเมริกา” และ “รัสเซีย” ได้ตัดสินใจเข้าสู่กระบวนการเจรจาต่อรอง นายโดนัลด์ ทรัมป์ และนายวลาดิเมียร์ ปูติน ตกลงร่วมกันที่จะพบกันครึ่งทางในเมืองแองเคอเรจ รัฐอลาสกาของสหรัฐฯ สถานที่ที่สองประเทศมีประวัติศาสตร์ร่วมกันมายาวนานพ่วงมาด้วยทีมงานระดับสูงร่วมโต๊ะการประชุม ฝ่ายสหรัฐฯมีนายเจดี แวนซ์ รองประธานาธิบดี นายมาร์โค รูบิโอ รมว.ต่างประเทศ นายพีต เฮกเซธ รมว.กลาโหม นายสตีฟ วิตคอฟฟ์ ทูตพิเศษของประธานาธิบดี ขณะที่ฝ่ายรัสเซียมีนายเซอร์เก ลาฟรอฟ รมว.ต่างประเทศ นายอันเดรย์ เบลูซอฟ รมว.กลาโหม นายอันโตน ซิลัวนอฟ รมว.คลัง นายยูริ อูชาคอฟ ที่ปรึกษาประธานาธิบดี และนายคิริล ดมิทรีเยฟ ทูตฝ่ายเศรษฐกิจไม่รวมถึงประเด็นว่าการนัดประชุมครั้งนี้เป็นการพบกันครั้งแรกระหว่างผู้นำสหรัฐฯ-รัสเซียในรอบ 4 ปี และยังเป็นครั้งแรกที่ผู้นำรัสเซียเดินทางเยือนดินแดนของสหรัฐฯในรอบ 15 ปี ซึ่งทั้งหมดแสดงสัญลักษณ์ว่างานนี้ ไม่ใช่เรื่องเล่นตามบท หรือแค่โยนหินถามทาง แต่เป็นการเจรจาอย่างจริงจังหลังจากทั้งสองฝ่าย “ต่อรองหลังฉาก” ปูทางกันมาอย่างต่อเนื่องว่า สงครามอาจมาถึงจุดที่ต้องหยุดยิงกันเสียทีในวันที่เขียนบทความชิ้นนี้ วันที่ 15 ส.ค. นาทีประวัติศาสตร์ยังไม่เริ่มขึ้น เนื่องจากคิดเป็นเวลาประเทศไทยคือจะเริ่มคุยกันในตอน 02.30 น. (ตีสองครึ่ง) ของวันที่ 16 ส.ค. แต่อย่างน้อยสิ่งที่จะพอรับประกันได้ว่า จะมีอะไรเกิดขึ้นเป็นชิ้นเป็นอันบ้าง คือการยืนยันจากทางทำเนียบขาวและเครมลินว่า ผู้นำสหรัฐฯ– รัสเซียจะออกแถลงการณ์ร่วมกันต่อหน้าสื่อมวลชนยกเว้นเสียว่าทุกอย่างจะพังครืนเละเทะไม่เป็นท่า ถ้าเป็นเช่นนั้น กำหนดการก็ย่อมมีการเปลี่ยนแปลง อย่างที่นายทรัมป์ดักคอไว้ก่อนหน้าการหารือว่า มีโอกาส 1 ใน 4 ที่การเจรจาอาจล้มเหลว และหากเป็นเช่นนั้นก็จะไม่มีการออกแถลงคู่กัน จะคุยกับนักข่าวเพียงคนเดียวสำหรับประเด็นสำคัญ แน่นอนว่าคือการต่อรองว่ารัสเซียจะยอมหยุดยิงด้วยเงื่อนไขอะไร มีการประเมินความเป็นไปได้ไว้ 4 แนวทาง 1.การหยุดยิงในทันที แนวรบอยู่ตำแหน่งใดให้หยุดไว้ตรงนั้น 2.การให้รัสเซียผนวกไป 2 จังหวัดคือโดเนตสก์และลูกานสก์ (ภูมิภาคดอนบาส) แต่สำหรับซาโปริชเชียและเคียร์ซอนให้หยุดตามแนวรบปัจจุบัน 3.ให้รัสเซียผนวกไป 3 จังหวัดคือโดเนตสก์ ลูกานสก์ ซาโปริชเชีย แต่เคียร์ซอนให้หยุดตามแนวรบ ส่วนแนวทางสุดท้ายคือ ยกให้ไปทั้ง 4 จังหวัดตามที่รัสเซียประกาศผนวกและทำประชามติไปตั้งแต่ช่วงต้นสงครามเป็นเงื่อนไขต่อรองเพื่อแลกกับการคืนดินแดนบางส่วนให้กับยูเครน นั่นคือตามแนวพื้นที่ทางรบภาคเหนือและตะวันตกเฉียงเหนือคือจังหวัดซูมีและคาร์คิฟ ที่รัสเซียส่งทหารเข้าไปกินแดนเพิ่มเติมต่อยอดจากความสำเร็จที่สามารถผลักดันกองทัพยูเครนออกไปจาก “จังหวัดคูร์สก์” ของรัสเซียแน่นอนงานนี้ยังมีกระแสข่าวพูดถึงสูตรพิศดารด้วยเช่นกัน นั่นคือการยกเมืองท่าอย่าง “โอเดสซา” ให้แก่ทางรัสเซีย แต่ประเด็นนี้คงเป็นฝันที่ไกลเกิน นายทรัมป์ไม่มีทางที่จะยอมให้รัสเซียได้เปรียบอยู่ฝ่ายเดียวอย่างไรก็ตาม การเจรจาที่เกิดขึ้นยังก่อให้เกิดคำถามที่ตามมา สมมติว่าการเจรจาบรรลุผล มีการตกลงขั้นต้นเรื่องการแลกดินแดนกันจริง ทางรัฐบาลยูเครนจะต้องจำยอม รับชะตากรรมไปอย่างนั้นหรือไม่ เนื่องจากนายโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน เคยประกาศกร้าวอยู่เป็นระยะๆว่า ยูเครนจะไม่ยอมเสียดินแดน เนื่องจากการยอมรับสละดินแดนถือว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญของประเทศเป็นที่มาของการเดินสาย “ขอตัวช่วย” ทั่วสหภาพยุโรป จนเป็นที่มาของการยืนยันจุดยืนของชาติสมาชิกอียูก่อนการเจรจาครั้งนี้ว่า สันติภาพจะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่มียูเครนเข้ามาเกี่ยวข้องแน่นอนว่าในมุมมองของรัสเซียนั้น นายเซเลนสกีถือเป็นผู้นำที่ขาดความชอบธรรมไปแล้ว นับตั้งแต่หมดวาระการดำรงตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญยูเครนไปตั้งแต่เดือน พ.ค.2567 ที่ผ่านมา เพียงแต่ยังคงเป็นผู้นำต่อไปเนื่องด้วยการบังคับใช้กฎอัยการศึกตามภาวะสงคราม ด้วยเหตุนี้การที่ผู้นำยูเครนเซ็นรับรองข้อตกลงใดๆ ก็มีโอกาสที่จะถูกนำไปตีความได้ว่า “ไม่มีผล” เพราะเป็นการเซ็นลงนามหลังจากอยู่เกินระยะเวลา ไม่แปลกที่นายปูตินจะให้ความเห็นเป็นระยะๆว่า จะพบกับผู้นำยูเครนเมื่อเงื่อนไขทั้งหมดสุกงอมสุดท้ายเรื่องนี้จึงอยู่ที่การตัดสินใจของประธานาธิบดีสหรัฐฯว่าจะดำเนินการเช่นไรหลังการเจรจา หากปิดดีลได้ก็ต้องเป็นฝ่ายที่ไปบีบยูเครน หรือไม่ก็ใช้บริบทนี้เป็นโอกาสในการถอนความช่วยเหลือจากยูเครนมากขึ้น แต่หากปิดดีลไม่ได้จริงๆ อาจจะต้อง “ถ่วงเวลา” ไปก่อน เพื่อหาทางไปต่อไม่ให้ตัวเองเสียภาพลักษณ์ “ประธา นาธิบดีแห่งสันติภาพ” ผู้ยุติสงครามทั่วโลก..ส่วนรัสเซียก็ไม่มีอะไรมาก หากเจรจาไม่สำเร็จก็รบกันต่อไป เพราะสถานการณ์การรบในตอนนี้คำว่า “พ่ายแพ้” ดูเหมือนเป็นเรื่องที่ห่างไกล.วีรพจน์ อินทรพันธ์คลิกอ่านคอลัมน์ “7 วันรอบโลก” เพิ่มเติม