นับถอยหลังสู่เส้นตายที่ "ประเทศไทย" ต้องเผชิญความท้าทายทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมขึ้นภาษีสินค้านำเข้าไทยในอัตรา 36% มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ส.ค.2568ซึ่งการปรับขึ้นภาษีนั้น “ไม่เพียงกระทบผู้ส่งออก” แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนให้ไทยต้องปรับตัวทั้งนโยบายเศรษฐกิจ การทูต การสนับสนุน SME และแรงงานที่เสี่ยงรับผลกระทบในสงครามการค้าระหว่างประเทศครั้งนี้ทำให้ไม่อาจรอและหวังพึ่งปัจจัยภายนอกเพียงอย่างเดียวในเรื่องนี้ ว่าที่ ร.ต.ดร.จุล ธนศรีวนิชชัย ผช.คณบดีฝ่ายบริหารยุทธศาสตร์และพัฒนากายภาพ ภาควิชาการจัดการ ม.เกษตรศาสตร์ วิเคราะห์สถานการณ์ผลกระทบผ่านเวทีเสวนาออนไลน์ทางสถานีวิทยุ ม.ก.หัวข้อทางรอดการค้าของไทย...อยู่ที่ไหน...ในยุคภาษีทรัมป์ว่าก่อนจะพูดถึงกลยุทธ์การปรับตัว “ต้องมามองภาพรวมของการส่งออกไทยไปสหรัฐฯ” ซึ่งเป็นผู้ประกอบการ SME และเกษตรกร 10-13% และอีก 25% เป็นสินค้าจีนที่ย้ายฐานการผลิตมาไทยในการเลี่ยงภาษีที่บางส่วนแค่ประกอบเล็กน้อย “สวมสิทธิ์เป็นสินค้าไทย” เพราะสหรัฐฯเรียกเก็บกับภาษีสินค้าจากจีนสูงกว่าไทยมากนอกจากนี้ยังมีกลุ่มทุนไทยรายใหญ่ 20% ส่วนใหญ่เป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่มีศักยภาพการผลิต และส่งออกสูง และอีกกลุ่มเป็นนักลงทุนต่างชาติคิดเป็น 45% มาใช้ไทยเป็นฐานการผลิตหลัก โดยเฉพาะจากญี่ปุ่นที่ย้ายฐานมาตั้งแต่ในช่วงวิกฤติการค้าสหรัฐฯ-ญี่ปุ่นในทศวรรษ 1990 เพื่อใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าดังนั้น ถ้ามองภาพรวมการส่งออกไทยกลุ่มน่าห่วงสุดคือ “SME และเกษตรกร” เพราะหากไทยคุยกับสหรัฐฯใหม่ตัวเลขไม่น่าจะต่ำกว่า 19-20% แต่อาจจะอยู่ที่ประมาณ 25-30% ก็ถือว่าสูสีกับคู่ค้าอย่างเวียดนามแต่สิ่งที่น่าพิจารณาหากการเจรจาไม่จบ “ไทยอาจจะเจอภาษี 30–35%” ตัวเลขนี้มีโอกาสเป็นไปได้สูงมาก เพราะเราต้องเผชิญกับแรงกดดันประเด็นสิทธิมนุษยชนกรณีอุยกูร์ และอาจารย์ชาวอเมริกันในไทยถูกดำเนินคดีเกี่ยวโยงการเมือง ทำให้ถูกตำหนิค่อนข้างรุนแรง และอาจถูกสหรัฐฯหยิบมาใช้เป็นเงื่อนไขก็ได้แล้วยิ่งกว่านั้น “ทรัมป์มักไม่สนใจความสัมพันธ์” สะท้อนจากประวัติศาสตร์หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้อเมริกามีบทบาทในการฟื้นฟูญี่ปุ่นทั้งด้านเศรษฐกิจและการปกครองแต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนความแนบแน่น ไม่ใช่หลักประกันพูดง่ายๆ “โลกธุรกิจไม่มีมิตรแท้” เพราะสหรัฐฯกำลังเผชิญวิกฤติภายใน มีหนี้สินมหาศาลจนน่ากลัวฉะนั้น หากไทยเจรจาไม่ลงตัว “เงินทุนและโรงงานต่างชาติ” มีแนวโน้มย้ายฐานไปเวียดนามที่ได้รับเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติมากกว่าไทย 15 เท่า ตั้งแต่ปี 2015 แล้วยิ่งเวียดนามดีลภาษีได้ 20% ถ้าไทยดีลได้ 30% โรงงานต่างชาติในไทย เช่น อุตสาหกรรมคอม พิวเตอร์ และอิเล็กทรอนิกส์ 45% ภาคการผลิตอาจทยอยย้ายฐานผลิตไปตามสังเกตได้จากหากเครื่องจักรในโรงงานใกล้หมดอายุอีก 3-5 ปี “ผู้ประกอบการ” ส่วนใหญ่จะไม่เลือกรีโนเวทอัปเกรดมักจะปล่อยให้หมดสภาพ และย้ายการลงทุนไปยังประเทศที่มั่นคงได้เปรียบกว่า เช่น เวียดนาม ดังนั้นถ้ากลุ่มโรงงานของทุนต่างชาติ 45% ย้ายฐานผลิตไปจริงย่อมกระทบต่อ GDP ไทย และการจ้างงานเป็นจำนวนมากเพราะต้องเข้าใจว่า “โครงสร้างการส่งออกไทยไปสหรัฐฯ” ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มทุนต่างชาติ 45% และทุนไทยรายใหญ่ 20% หากไทยดีลภาษีจบเกิน 25% ย่อมทำให้กลุ่มทุนย้ายฐานผลิตไปเวียดนามที่เสนอการลงทุนจูงใจกว่า ซึ่งการย้ายฐานผลิตครั้งนี้จะส่งผลกระทบกับแรงงานมากกว่า 1 ล้านคนภายใน 3 ปีแน่นอนทั้งแรงงานในอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ยางพารา แต่โชคดีว่าทุนจีนเคยย้ายฐานมาพักของ และประกอบชิ้นส่วนเล็กน้อยในไทยช่วงปี 2018-2019 “เพื่อเลี่ยงภาษีสหรัฐฯจากนโยบายทรัมป์”เข้ามาอาศัยสิทธิการส่งออกจากไทยไปอเมริกา “local content” แทบไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ระยะยาวกับไทยก็จะไม่กลับมาอีกคำถามสำคัญคือ “ไทยจะปรับตัวอย่างไร?” ถ้าดูปี 2567 รายการสินค้าส่งออกไปสหรัฐฯ 10 อันดับแรก ส่วนใหญ่เป็นของกลุ่มทุนต่างชาติ หรือกลุ่มทุนรายใหญ่ของไทย “ยกเว้นอัญมณีและเครื่องประดับ” มาจากกลุ่มทุนไทยแท้ “ภาครัฐ” จึงต้องเร่งหาทางส่งเสริมสินค้าที่สร้างจากฝีมือคนไทยให้แข่งขันในตลาดโลกแล้วถ้ามาดู SME ไทยหากได้รับผลกระทบจากสหรัฐฯ “ควรมีแผนหาตลาดใหม่” ที่มีพฤติกรรมผู้บริโภคใกล้เคียงกับสหรัฐฯ เรื่องนี้ภาครัฐต้องมีบทบาทสนับสนุนผู้ประกอบการช่วยให้ปรับตัวต่อการแข่งขัน เพราะถ้าเป็นสถานการณ์โลกนิ่งการขายแค่ไม่กี่ประเทศอย่างอเมริกา และบางประเทศมักทำให้การดำเนินงานได้ง่ายทว่าในสถานการณ์ไม่แน่นอน “ผันผวน” การพึ่งพาตลาดไม่กี่ประเทศย่อมมีความเสี่ยงสูง เช่นนี้ถ้าไทยขายให้กับ 3 ประเทศแล้วประเทศหนึ่งมีปัญหาก็อาจกระทบถึง 33% ของรายได้ฉะนั้น แนวทางแก้ไข “ควรกระจายความเสี่ยงขยายตลาดไป 20 ประเทศ” ตั้งเป้าสัดส่วนยอดขายเฉลี่ยประเทศละ 5% แม้จะเหนื่อยในเชิงดำเนินงานต้องปรับโปรดักส์ตามแต่ละประเทศ ติดต่อผู้แทน แต่ช่วยให้ความเสี่ยงกระจายไม่ขึ้นอยู่กับประเทศใดประเทศหนึ่งเกินไป ดังนั้น การขยายตลาดต้องยอมเหนื่อยทั้ง SME และภาครัฐโดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์ “ต้องช่วยบุกตลาดเปิดโอกาสใหม่” ส่วนด้านต้นทุนแข่งขันถ้าสมมติว่าไทยเสียภาษีแพงกว่าเวียดนาม 5% และอินโดนีเซีย 6% “ผู้ประกอบการยังพอไหว” หากเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนมาชดเชยได้ แต่ถ้าความต่างต้นทุนกับคู่แข่งมากเกินไป “ต่างชาติ” ก็จะย้ายฐานการผลิตไปประเทศที่ต้นทุนต่ำกว่าประเด็นสำคัญในสถานการณ์ผันผวนนี้ “ควรเตรียมทรัพยากร และเงินสำรองไว้ล่วงหน้า” เพราะอาจจะเกิดภาวะสะดุด 2-3 เดือนได้ โดยหน่วยงานรัฐอย่างกระทรวงการคลัง และธนาคารของรัฐ ควรมีมาตรการสนับสนุน เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ หรือไม่คิดดอกเบี้ย เพื่อช่วย SME เตรียมตัวรับมือความไม่แน่นอน“ด้วยกว่าเจรจาการค้าจะลงตัวผู้ประกอบการควรมีสภาพคล่องเงินสำรองล่วงหน้าไว้เพื่อความมั่น ใจ เช่นเงินเบิกเกินบัญชีดอกเบี้ยต่ำ (OD) แม้ไม่ได้ใช้ทันทีก็ควรมีให้พร้อม และสถานการณ์นี้ผู้ประกอบการต้องติดตามนโยบายและสิทธิประโยชน์จากรัฐใกล้ชิด เพื่อให้ปรับกลยุทธ์ทันการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา” ว่าที่ ร.ต.ดร.จุล ว่าย้ำนี่ไม่ใช่แค่ความท้าทายแต่คือ “สึนามิเศรษฐกิจ” ที่จ่อถาโถมภาคการส่งออกไทยมูลค่าหลายแสนล้านบาทต่อปีที่จะกระทบเป็นลูกโซ่ตั้งแต่ผู้ผลิตจนถึงแรงงาน “รัฐ” ต้องเร่งสร้างภูมิคุ้มกัน รุกตลาดใหม่ ปรับเกมส่งออก เพื่อพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส ยกระดับเศรษฐกิจไทยให้รอด.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม