ทหารไทยยังปะทะกัมพูชาต่อเนื่องวันที่ 3 กองทัพเรือเปิดยุทธการ “ตราดพิฆาตไพรี 1” โต้กลับทันควัน หลังกัมพูชาเปิดฉากขยายพื้นที่โจมตีบ้านชำราก จ.ตราด แต่เช้ามืด ลามถึง อ.บ้านกรวด-เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์ โดนด้วย ขณะที่เฝ้าระวัง “กันทรลักษ์-กาบเชิง-พนมดงรัก” ยังสู้กันดุเดือด หลังเขมรยิงปืนใหญ่ใส่ไทยไม่หยุด โดยเฉพาะสมรภูมิ “ภูมะเขือ” กองทัพภาค 2 จัดหนักส่งเอฟ 16/กริพเพนออกลุย 2 รอบ ล่าสุดพบนายพลเขมรคนดัง “ดวง ซอมเนียง” ดับคาช่องตาเฒ่า ด้าน “มาริษ” เผยผลประชุม UNSC ไร้ข้อสรุปชัดเจน แนะให้สองประเทศยับยั้งชั่งใจร่วมลดความขัดแย้ง ขณะที่ กต.พร้อมส่งหนังสือประท้วงกัมพูชาถึงหลายองค์กรนานาชาติ รวมถึงศาลอาญาระหว่างประเทศ ในฐานะผู้ก่ออาชญากรรมสงครามหลังจากเกิดการสู้รบระหว่างกองทัพไทยกับกัมพูชามาสองวันติดในพื้นที่ จ.อุบลราชธานี จ.สุรินทร์ และ จ.ศรีสะเกษ ส่งผลให้สถานการณ์ตามแนวชายแดน ไทยยิ่งตึงเครียดและทวีความรุนแรง ล่าสุด กัมพูชายังเปิดฉากโจมตีไทยต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 เป็นการเปิดแนวรบใหม่ทางทะเลจัด “ตราดพิฆาตไพรี 1” ตอกเขมรผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 05.10 น. วันที่ 26 ก.ค. ทหารกัมพูชาเปิดพื้นที่ใหม่เริ่มโจมตีทหารไทย บริเวณบ้านชำราก อ.เมืองตราด จ.ตราด ทางทหารจากกองกำลังป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ได้ตอบโต้ เริ่มการปะทะ กองทัพเรือได้เปิดยุทธการ “ตราดพิฆาตไพรี 1” ผลักดันและทำลายพื้นที่ทหารกัมพูชาวางกำลังรุกล้ำเขตแดนไทย 3 จุด กระทั่งเวลา 05.40 น. กำลังทหารเรือสามารถผลักดันฝั่งกัมพูชาได้ถอยออกไปพร้อมยิงอาวุธที่เขมรกลัวที่สุดจากนั้นเวลา 08.20 น. มีรายงานข่าวจากหน่วยความมั่นคง กองทัพเรือ โดยทัพเรือภาคที่ 1 กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ได้ส่งหมวดเรือป้องกันชายแดน ประกอบกำลังทัพเรือ ภาคที่ 1 ส่งหมวดเรือเฉพาะกิจ (Task Group) จำนวน 4 ลำ ออกสนับสนุน “ยุทธการตราดพิฆาตไพรี 1” บริเวณ อ.เกาะกูด และบ้านหาดเล็ก จ.ตราด กำลัง ประกอบด้วยเรือเร็วโจมตีปืน และเรือตรวจการณ์ปืน มีขีดความสามารถในการสนับสนุนการยิงสนับสนุนให้กับกำลังทางบก เป็นอาวุธที่ทางทหารกัมพูชากลัวที่สุดในพื้นที่บริเวณนี้ ทั้งนี้หากได้รับการร้องขอสามารถยิงสนับสนุนได้ทันทีภายใน 1 นาทีทร.ปัด นย.เหยียบทุ่นระเบิดต่อมา พลเรือตรีปารัช รัตนไชยพันธ์ รองโฆษก กองทัพเรือ ระบุว่า ตามที่มีการนำเสนอข่าวทหารนาวิกโยธินที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดตราดเหยียบทุ่นระเบิดนั้น ขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง ขณะที่ต่อมา พลเรือตรีขวัญชัย ขำสม รอง ผบ.กปช.จต. ระบุว่า มี 3 ทหาร จากทั้งหมด 7 นาย คือ พ.เอกสาร ธนธรณ์ ช่วยบำรุง พ.เอกสาร ไชยภัทร อินทวิเชียร และ พ.เอกสาร สมรักษ์ แก่นทอง ที่ได้รับบาดเจ็บจากการเกิดอุบัติเหตุขณะปฏิบัติหน้าที่ขับรถทหารลงจากฐานยุทธการบ้านชำราก ต.ชำราก อ.เมืองตราด เนื่องจากเป็นทางโค้ง ลาดชัน รถเบรกไม่อยู่ช่วงโค้งลงเนิน ทำให้รถเสียหลัก พลิกคว่ำ ทหารได้รับบาดเจ็บ 3 นาย มีบาดแผลตามแขน ขา และลำตัว แต่ไม่สาหัส ส่วนทหารอีก 4 นาย ได้รับบาดเจ็บเคล็ดขัดยอกเล็กน้อยไม่ต้องเข้า รพ. แพทย์ผู้รักษาบอกว่าอาการเล็กน้อย พักรักษาตัวอยู่ รพ.ตราด สัก 2-3 วัน ก็ออกจาก รพ.ได้แล้ว วอนสื่อและประชาชนทั่วไปอย่าโพสต์ข้อมูลที่ไม่จริง เพราะสร้างความตกใจให้กับประชาชนชาวไทย คิดว่าเป็นการสู้รบกันจนเหยียบกับระเบิดพนมดงรักโดนถล่มหนักสำหรับใน อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ตลอดช่วงเช้าวันที่ 26 ก.ค. เงียบผิดสังเกต หลังจากมีการปะทะ อย่างหนักหน่วงตลอดวันและคืนของวันที่ 25 ก.ค. ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายลงมา เบื้องต้นมีรายงานจากฝ่ายปกครองว่า มีกระสุนปืนใหญ่ตกลงมา ในเขตพื้นที่อำเภอพนมดงรักกว่า 40 ลูก มีทรัพย์สินเสียหายคือวัวของนางคำพอง อาระหัง ชาวบ้านหัวอ่าง หมู่ 5 ต.บักได อ.พนมดงรัก ตาย 3 ตัว และจากที่มี ฝนตกลงมาอย่างหนักและตกปรอยๆตลอดทั้งคืน ทำให้ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้านบางหมู่บ้านไม่สามารถพักในหลุมบังเกอร์ได้ เพราะพื้นหลุมบังเกอร์ต่ำกว่าระดับพื้นดิน มีการหลบมาพักอยู่ตามศาลาประชาคมหมู่บ้าน บางหมู่บ้านกางเต็นท์เป็นที่พักชั่วคราว จัดเวรยามออกตรวจตามหมู่บ้าน ตลอดทั้งคืน เพื่อดูแลทรัพย์สินของชาวบ้าน ที่ส่วนใหญ่ อพยพออกไปอยู่ตามศูนย์อพยพหมดแล้ว ต่างจากพื้นที่ชายแดนด้านปราสาทตาเมือนธม ต.ตาเมียง และปราสาทตาควาย ต.บักได ยังมีการยิงต่อสู้กันอย่าง ต่อเนื่อง มีรายงานว่า กระสุนตกในพื้นที่ไร่นา ชุมชนหลายแห่ง พบวัวถูกกระสุนปืนใหญ่ของกัมพูชาตายแล้ว 1 ตัว ที่ บ.หัวอ่าง ต.บักไดฯ ยังไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บกระสุนเขมรตกช่องจอม 6 ลูกเช่นเดียวกับที่หมู่บ้านด่าน ต.ด่าน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ อยู่ติดกับตลาดการค้าชายแดนช่องจอม ตลอดช่วงเช้าวันที่ 26 ก.ค. ยังเงียบสงบ แต่มีรายงานว่า เมื่อวันที่ 25 ก.ค. กระสุนปืนใหญ่ของกัมพูชาตกลงในพื้นที่หลังตลาดโอทอปช่องจอม แต่ไม่โดนอาคาร และพื้นที่ ต.ตะเคียน อ.กาบเชิง ที่อยู่ใกล้กันอีก 5 ลูก ทั้งนี้ นายสุดศรี บัวเสน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านบ้านด่าน ต.ด่าน อ.กาบเชิง กล่าวว่า เมื่อวันที่ 25 ก.ค. ระเบิดลงที่ ต.ตะเคียน 5 ลูก หลังตลาดโอทอปช่องจอม 1 ลูก ตลาดอาเซี่ยนช่องจอม บริเวณท้ายเขื่อนบ้านด่าน ระเบิด ข้ามไปข้ามมา ในพื้นที่ ต.ด่าน พวกเราต้องหนีเข้าบังเกอร์ ส่วนสัตว์เลี้ยงมีผู้นำและ ชรบ. คอยเดินดูและให้ข้าว ส่วนชาวบ้านอพยพไปหมดแล้ว เหลือเฉพาะบางส่วนที่อยู่เฝ้าบ้านโดยเฉพาะผู้ชายคลิปชัดเขมรเปิดฉากยิงก่อนนอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พบคลิปของ ชาวกัมพูชาที่ลงไว้ในโลกโซเชียล เป็นภาพผู้หญิงกัมพูชาโทรศัพท์อยู่และร้องไห้ และในคลิปมีเสียงผู้หญิงและภาพผู้ชายกัมพูชาพูดกันว่า “คะแมรเนี๊ยบันเตอ” แปลว่า “เขมรเป็นคนยิงนะ” และบอกท้าย คลิปว่า “ยิงจากพื้นที่...ของกัมพูชา” ส่วนอีกคลิป เป็นภาพทหารกัมพูชาพูดว่า “วันนี้พี่เปิดใส่ก่อนแล้วนะ วันที่ 24 พี่เปิดให้ก่อนแล้ว รอไม่ได้แล้ว ไม่ใช่เด็กน้อย รอวันที่ 27 พวกเอ็งค่อยใส่ตามทีหลัง” ทั้งนี้ คลิปดังกล่าวเป็นหลักฐานอย่างดีให้กับทางการไทยว่าทหารกัมพูชาเปิดฉากยิ่งก่อนทุกครั้ง ก่อนที่ไทยจะตอบโต้ทหารกัมพูชา เสียงดังสนั่นหวั่นไหวบริเวณหลังบ่อนกาสิโน พื้นที่ของทุนจีนที่กำลังก่อสร้าง แต่ไม่มีรายงานว่าบ่อนกาสิโนเสียหายหรือไม่เขมรขนอาวุธหนักปืน ค.–BM–21ต่อมา ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 สรุปผล การปฏิบัติในช่วง 12.00 น. สถานการณ์การสู้รบยังคง มีการปะทะอย่างต่อเนื่อง และมีการเตรียมพร้อม และเพิ่มเติมกำลังของทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะที่พื้นที่ช่องบก ช่องอานม้า ซำแต ช่องตาเฒ่า ภูมะเขือ ปราสาทตาควาย และกลุ่มปราสาทตาเมือนธม มีการ ยิงปืนใหญ่ตกในพื้นที่พลเรือนหลายแห่ง แต่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ มีการอพยพพนักงานกาสิโนชาวกัมพูชา ออกจากบ่อนชายแดน ตรงข้ามช่องสายตะกู จ.บุรีรัมย์ ตลอดช่วงบ่ายของวันที่ 25 ก.ค. กำลังของกัมพูชามีการระดมยิงด้วยปืนใหญ่เครื่องยิงลูกระเบิด (ค.)และ BM-21 อย่างหนัก โดยมีความพยายามเข้ารุกรานในพื้นที่สำคัญ เช่น พื้นที่ซำแต ภูผี ช่องตาเฒ่า และปราสาทตาเมือนธม ซึ่งเจ้าหน้าที่ทหารได้ตอบโต้อย่าง เท่าเทียม ตามลำดับด้วยการใช้อาวุธประจำกายการ ยิงปืนใหญ่ เครื่องยิงลูกระเบิด และการใช้กำลังทางอากาศยิงทำลายเป้าหมายที่ช่องอานม้า ภูผี ช่องตาเฒ่า ช่องบันไดหักเฝ้าระวัง 3 อำเภอสำคัญ ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 รายงานว่า การใช้กำลังเข้าผลักดันข้าศึกที่ภูมะเขือ ปัจจุบันสามารถยึดควบคุมพื้นที่ตามแนวเส้นปฏิบัติการ 1 ต่อ 50,000 ไว้ได้ทั้งหมด ส่วนปราสาทตาควายยังคง มีความพยายามผลักดันอยู่ แต่มีข้อจำกัดเรื่องการใช้กำลังใกล้โบราณสถาน พื้นที่และห้วงเวลาที่มีการ ปะทะหนัก ได้แก่ พื้นที่ภูมะเขือ 6 ครั้ง ปราสาทตาเมือนธม 4 ครั้ง ช่องบก 3 ครั้ง ช่องอานม้า 3 ครั้ง ซำแต 2 ครั้ง และช่องตาเฒ่า 3 ครั้ง พื้นที่ที่ต้องเฝ้าระวัง ได้แก่ พื้นที่ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ อ.กาบเชิง และ อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ คาดว่ากำลังของฝ่ายกัมพูชาจะใช้การยิงปืนใหญ่มุ่งทำลายชีวิตและทรัพย์สิน ของพลเรือน เพื่อกดดันให้รัฐบาลไทยตัดสินใจยุติการต่อสู้ในสภาพเสียเปรียบอพยพแล้ว 8.8 หมื่นคนศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 รายงานว่า การอพยพประชาชนไปยังพื้นที่รวบรวมพลเรือน พื้นที่ตอนในทั้ง 4 จังหวัด ได้แก่ จ.บุรีรัมย์ อพยพเข้าพื้นที่รวบรวมพลเรือน 1 จุด 6,238 คน จ.สุรินทร์ อพยพเข้าพื้นที่รวบรวมพลเรือน 51 จุด 32,843 คนจ.ศรีสะเกษ อพยพเข้าพื้นที่รวบรวมพลเรือน 82 จุด 34,248 คนและ จ.อุบลราชธานี อพยพเข้าพื้นที่รวบรวม พลเรือน 76 จุด 14,709 คน ล่าสุดอพยพประชาชนออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยเข้าพื้นที่รวบรวมพลเรือนแล้ว จำนวน 88,038 คน ผลกระทบต่อประชาชนพื้นที่ ที่ได้รับความเสียหาย ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ มีจรวด BM-21 ตกในพื้นที่บ้านเรือนประชาชนได้รับความเสียหาย 7 หลังคาเรือน ไม่มี รายงานการสูญเสียต่อชีวิตประชาชนส่ง “กริพเพน” เสริม F-16จากนั้นช่วงบ่าย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กองทัพอากาศ ส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2 ลำ และเครื่องบิน กริพเพน จำนวน 2 ลำ ออกปฏิบัติการโจมตีพื้นที่เป้าหมายทางทหารกัมพูชาบริเวณภูมะเขือ หลังทหารกัมพูชาเตรียมใช้อาวุธวิถีโค้งยิงใส่ฝ่ายไทย หวังยึดภูมะเขือกลับคืน หลังจากที่ทหารไทยสามารถยึดภูมะเขือ และเชิญธงชาติขึ้นสู่ยอดเสาได้สำเร็จ นอกจากนี้ ในอีกจุดคือบริเวณปราสาทตาเมือนธม เป็นจุดที่ทางทหารกัมพูชาตั้งปืนใหญ่และกำลังพลยิงข้ามมายังฝั่งประเทศไทยโดยไร้ทิศทาง ทั้งนี้ผลการปฏิบัติ ทำลายเป้าหมายได้ทั้งสองจุด ลุล่วงไปด้วยดี และได้บินกลับฐานปฏิบัติด้วยความปลอดภัย ต่อมาเวลา 13.40 น. เพจเฟซบุ๊กกองทัพบกทันกระแส โพสต์ข้อความว่า F-16 จัดเต็ม เสิร์ฟไข่ ให้โปรตีน 2 เป้าหมาย เป๊ะ ไม่พลาดยึดอาวุธเพียบบนภูมะเขือทั้งนี้ มีรายงานจากกองทัพภาคที่ 2 ระบุว่าสำหรับปฏิบัติการของเจ้าที่ทหารกองทัพภาคที่ 2 บนภูมะเขือ ที่สามารถยึดกลับคืนมาได้ ทำให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 10 นาย พร้อมทั้งตรวจพบและสามารถยึดอาวุธยุทโธปกรณ์ จำนวน 11 รายการ ประกอบด้วย 1.อาวุธปืน AK 47 จำนวน 10 กระบอก 2.อาวุธปืน M 16 A4 จำนวน 1 กระบอก 3.อาวุธปืนกล RPD จำนวน 3 กระบอก 4.อาวุธปืน RPG จำนวน 3 กระบอก 5.อาวุธปืน LG 4 ขนาด 40 มม. จำนวน 2 กระบอก 6.อาวุธปืน PF 89 (FAE) จำนวน 5 กระบอก 7.อาวุธปืนพกโตกาเรฟ จำนวน 2 กระบอก 8.อาวุธปืน ปลส. จำนวน 3 กระบอก 9.อาวุธปืน ปตอ.ขนาด 12.7 มม. จำนวน 2 กระบอก 10.อาวุธปืน ค.82 จำนวน 3 กระบอก 11.อาวุธปืน ค.100 จำนวน 1 กระบอก 12.โดรน DJI จำนวน 1 เครื่อง นอกจากนี้ยังพบโทรศัพท์มือถือ 7 เครื่อง ที่ทางทหารกัมพูชาชอบถ่ายในเวลาทำคลิปเมื่อเจอกับทหารไทยบริเวณแนวชายแดนนายพลเขมรดับคาช่องตาเฒ่านอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวสายทหารรายงานว่า การปะทะระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชาบริเวณภูมะเขือ และช่องตาเฒ่า ตั้งแต่เช้ามืดของวันที่ 26 ก.ค. ทหารไทย สามารถปกป้องพื้นที่ภูมะเขือ และกดดันทหารกัมพูชา ออกจากพื้นที่ได้สำเร็จ ในขณะที่ทหารกัมพูชาพยายามกลับเข้ามาโจมตี เพื่อยึดภูมะเขือ ส่งผลให้มีทหารกัมพูชาเสียชีวิตหลายนาย หนึ่งในนั้น พลตรีดวง ซอมเนียง ผบ.พล.7 ถูกกระสุนปืนใหญ่ยิงเสียชีวิต ที่ช่องตาเฒ่า-ภูมะเขือไทยปะทะหนักหน่วงขณะที่สถานการณ์ใน จ.บุรีรัมย์ มีความตึงเครียดยิ่งขึ้น หลังจากนายอำเภอละหานทรายสั่งอพยพประชาชนด่วน ต.โนนเจริญ ฝั่ง อ.บ้านกรวด เนื่องจากได้ยินเสียงปืนใหญ่ดังขึ้นเป็นระยะ ชาวบ้านต่างขนข้าวของย้ายไปที่ศูนย์อพยพกันเป็นจำนวนมาก เนื่องจากหน่วยข่าวกรองระบุทหารเขมรหันกระบอกปืนมาทางหมู่บ้าน กระทั่งเวลา 14.00 น. เริ่มได้ยินเสียงปืนใหญ่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีรายงานข่าวล่าสุดมีกระสุนปืนใหญ่มาตกที่ไร่ยางพาราของชาวบ้านที่บ้านตาจง 3 ลูก ที่บ้านโคกว่าน ต.ตาจง อีก 1 ลูก ตามด้วยลูกปืนใหญ่มาตกที่บ้านยายแย้มวัฒนา ต.ยายแย้ม อ.เฉลิมพระเกียรติ อีก 1 ลูก ซึ่งจุดนี้อยู่ ห่างจากชายแดนกว่า 40 กม.F-16/กริพเพนลุยรอบ 2ต่อมาช่วงเย็นผู้สื่อข่าวรายงานว่า เครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2 ลำ และกริพเพน จำนวน 2 ลำ ออกปฏิบัติการเป็นรอบที่สอง โจมตียุทธบริเวณทำลายพื้นที่ทหารกัมพูชา บริเวณปราสาทตาควายอ.พนมดง จ.สุรินทร์ ภารกิจลุล่วง และกับฐานปฏิบัติโดยปลอดภัย สำหรับพื้นที่บริเวณนี้ ทหารไทยกับทหารกัมพูชาปะทะกันดุเดือด ผลัดกันรุกผลัดกันรับ ทหารไทยพยายามทำลายพื้นที่กัมพูชาวางกำลังไว้หลายระลอก ในขณะที่กัมพูชาโต้กลับและมีการระดมกำลังทหารมาเพิ่มเติม ส่งผลให้พื้นที่บริเวณนี้มีการปะทะดุเดือด ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค.ถึงวันนี้ชี้เขมรขู่ยิงขีปนาวุธเป็นภัยคุกคามด้าน พล.ต.วันชนะ สวัสดี ผู้อำนวยการสำนักงาน ประสานภารกิจด้านความมั่นคงกับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร กรมยุทธการทหาร กล่าวถึงกรณีกองทัพภาคที่ 2 เตือนเฝ้าระวังกัมพูชายิงขีปนาวุธ PHL-03 วิถีไกล 130 กม. ว่า การขยับขีปนาวุธ PHL-03 เป็นการขู่ และถือเป็นภัยคุกคาม ถ้าไทยใช้การทำลายทางลึกถือว่าเหมาะสม ไม่ทำเกินกว่าเหตุ เพราะฝ่ายกัมพูชา 1.เคลื่อนกำลังจำนวนมากมาประชิดชายแดน 2.ใช้อาวุธยิงระยะไกลทำร้ายประชาชนไทย ทั้งโรงพยาบาล โรงเรียน สถานีบริการน้ำมัน ทำให้คนไทยบาดเจ็บ และเสียชีวิต 3.จากการมีภาพข่าวการเคลื่อนอาวุธยิงระยะไกล ถือว่าเป็นการข่มขู่คุกคามความมั่นคงของไทยอย่างชัดเจน ดังนั้น การปฏิบัติการทางอากาศเพื่อลดการสูญเสีย ให้สถานการณ์คลี่คลายโดยเร็วที่สุด การปฏิบัติการ ทางอากาศของเราทำลายเป้าหมายทางทหารเท่านั้น และมีความแม่นยำ“มาริษ” เผยแจงนานาชาติสำหรับมาตรการตอบโต้ทางการทูต วันเดียวกัน ที่กระทรวงการต่างประเทศ เวลา 11.00 น. นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ แถลงผลการเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกา เข้าร่วมการประชุมเวที High-Level Political Forum on Sustainable Development 2025 หรือ HLPF2025 ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก ว่า ในห้วงการประชุมดังกล่าว ได้พบหารือกับผู้แทนระดับสูงจากสหประชาชาติ และผู้แทนระดับสูงประเทศต่างๆ เพื่อชี้แจงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา การปะทะกันเมื่อช่วงเช้าวันที่ 24 ก.ค.2568 ฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้เริ่มโจมตีก่อน ในสถานที่ที่ไม่ใช่เป้าหมายทางทหาร เช่น โรงพยาบาล ปั๊มน้ำมัน และร้านสะดวกซื้อ ทำให้พลเรือนไทยได้รับบาดเจ็บ และเสียชีวิต รวมถึงเด็กอายุเพียง 8 ขวบ ยืนยันได้ว่าไม่มีประเทศใดยอมรับการกระทำเหล่านี้ได้ รวมถึงการใช้ทุ่นระเบิดสังหาร ทั้งที่กัมพูชายืนยันตลอดว่าเป็นสมาชิกสมาคมระหว่างประเทศ แต่กลับละเมิดหลักการ และกระทำการโจมตีอย่างร้ายแรงโดยไม่เลือกเป้าหมาย และเป็นเป้าหมายพลเรือน ไม่เพียงละเมิดอำนาจอธิปไตยไทยเท่านั้น แต่ยังละเมิดกฎหมายสหประชาชาติ กฎหมายระหว่างประเทศ และละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างร้ายแรง และกระทรวงการต่างประเทศออกแถลงการณ์ประณามกัมพูชาไปแล้ว และลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตเช่นกันยันกัมพูชาละเมิดอธิปไตยไทยนายมาริษกล่าวว่า ขอเรียกร้องให้กัมพูชาแสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำ โดยเฉพาะการโจมตีพลเรือน และละเมิดอำนาจอธิปไตยไทยโดยทันที ขอแสดงความเสียใจต่อประชาชน และเจ้าหน้าที่ที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตด้วย ที่ผ่านมา ประเทศไทยดำเนินการมาตรการต่างๆด้วยความจริงใจ และสุจริตใจตามกฎบัตรสหประชาชาติอย่างสันติ จริงใจ แต่ฝ่ายกัมพูชากลับละเมิดอธิปไตยไทย และละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศซ้ำแล้วซ้ำอีก ตนจึงได้เดินทางไปชี้แจงต่อประชาคมระหว่างประเทศ แล้วผ่านเวที HLPF2025ย้ำกัมพูชาเปิดฉากยิงก่อนรมว.กต.กล่าวถึงการประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือ UNSC ที่มีการประชุมด่วนแบบปิด เพื่อหารือต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อเวลา 02.00 น. ที่ผ่านมา มีประเทศสมาชิก 15 ประเทศ และประเทศไทย-กัมพูชา เข้าร่วมการประชุม ได้รับทราบจากผู้แทนไทยว่า ฝ่ายไทยและฝ่ายกัมพูชา รวมถึงประเทศสมาชิกทุกประเทศ ได้กล่าวถ้อยแถลงในที่ประชุม สรุปว่าฝ่ายไทยได้ย้ำจุดยืนว่าฝ่ายกัมพูชาเป็นฝ่ายริเริ่มเปิด ฉากยิงประเทศไทยก่อน และโจมตีสถานที่ที่ไม่ใช่เป้าหมายทางทหาร และรุกล้ำเข้ามาอย่างต่อเนื่องUNSC ขอ 2 ชาติยับยั้งชั่งใจนายมาริษกล่าวอีกว่า ที่ประชุม UNSC ได้ขอให้ไทยและกัมพูชาใช้ความยับยั้งชั่งใจในการลดความชัดแย้ง และใช้การเจรจาบนพื้นฐานการเป็นเพื่อนบ้านที่ดีระหว่างกัน พร้อมยังสนับสนุนบทบาทอาเซียนในการแก้ปัญหาความขัดแย้งตามกฎบัตรอาเซียน และย้ำว่าสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาไม่ได้ เป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพ หรือความมั่นคงระหว่าง ประเทศ แต่เป็นข้อขัดแย้งระหว่าง 2 ประเทศ สามารถแก้ไขได้ผ่านการเจรจาอย่างสันติและสุจริตใจ และที่ประชุม UNSC ก็ไม่ได้มีการออกเอกสารใดๆกัมพูชาต้องจริงใจยุติโจมตีไทยนายมาริษยังกล่าวขอบคุณนายอันวา อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียนที่เสนอตัวเป็นคนกลางในการเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ประเทศไทยเห็นด้วยในหลักการ แต่ที่ผ่านมากัมพูชายังโจมตีพื้นที่พลเรือน ดังนั้นกัมพูชาจะต้องแสดงความจริงใจ และยุติการโจมตีประเทศไทยก่อน การโจมตีของกัมพูชาที่มีเป้าหมายพลเรือน ได้สั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศทำหนังสือประท้วง เพราะไม่สามารถยอมรับได้ ประเทศ ไทยขอยืนยันในการแก้ปัญหาข้อพิพาทด้วยหลักสันติวิธี ตามกฎหมายระหว่างประเทศในการธำรงสันติภาพและเสถียรภาพ ขอให้กัมพูชายุติการ รุกราน หรือละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ และกลับเข้าสู่การเจรจาอย่างสุจริตจริงใจส่งหนังสือประท้วงทุกที่รวมถึง ICCส่วนกรณีที่กัมพูชาละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ นายมาริษกล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศจะยื่นเรื่องถึงอนุสัญญาเจนีวาด้วยแน่นอน กระทรวงการต่างประเทศจะออกหนังสือประท้วง เพื่อประณามอย่างรุนแรง พร้อมให้กรมสนธิสัญญาและกฎหมายและกรมองค์การระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ พิจารณายื่นหนังสือประท้วงทุกช่องทางตามที่สามารถยื่นได้ ทั้งคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) และคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ส่วนการยื่นเรื่องถึงศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ข้อหาอาชญากรรมสงครามระหว่างประเทศ ได้สั่งการให้กรมสนธิสัญญาและกฎหมายฯ พิจารณาเรื่องนี้ก่อนเป็นลำดับแรก เพราะการจะไปถึงจุดนั้นมีรายละเอียดอีกมาก และจะดำเนินการทุกช่องทางที่ไทยสามารถทำได้ ฝ่ายไทยได้พูดคุยกันตลอดเวลาเพราะ ICC มีกรอบและขั้นตอนในรายละเอียดที่กำลังพิจารณา แต่เรื่องการใช้ทุ่นระเบิดนั้น ไทยได้ยื่นเรื่องถึงรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวาแล้วทบ.ชี้แจง 26 ผช.ทูตทหาร ขณะเดียวกันกรมข่าวทหารบก กองทัพบก ส่งหนังสือชี้แจงนานาชาติผ่านกลไกผู้ช่วยทูตทหารบกไทยประจำต่างประเทศ จำนวน 26 ประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา จีน รัสเซีย ฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมนี ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ตุรกี ปากีสถาน แคนาดา นิวซีแลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ เบลเยียม อิตาลี แคนาดา เพื่อให้รับทราบข้อมูลข่าวสารสถาน การณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาที่เกิดขึ้นอย่างถูกต้องและชัดเจน ยันกัมพูชาเปิดฉากยิงก่อนและโจมตีเป้าหมายพลเรือน-ชุมชน-โรงพยาบาล รวมทั้งการละเมิดอธิปไตยและรุกล้ำดินแดนไทย ในการลักลอบวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ที่ผิดอนุสัญญาออตตาวา ทำให้ทหารไทยขาขาด 2 นาย และบาดเจ็บจำนวนหนึ่งทหารเขมรตายเพิ่มอีก 13อีกด้านหนึ่ง มีรายงานจากกระทรวงกลาโหมกัมพูชาแถลงยอดผู้เสียชีวิตจากการปะทะกับไทยในกัมพูชาเพิ่มขึ้นเป็น 13 ราย เป็นทหาร 5 นาย และพลเรือน 8 ราย ขณะที่ประชาชนกว่า 35,000 คนต้องอพยพออกจากบ้านเรือน ส่วนการประชุมฉุกเฉินของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) แบบปิด ในนครนิวยอร์ก สหรัฐฯ จบลงโดยไม่มีการนำเสนอมติหรือการออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการแต่อย่างใด ที่ประชุมได้เน้นย้ำให้ทั้ง 2 ฝ่ายลดความตึงเครียดและให้ยับยั้งชั่งใจอย่างสูง รวมทั้งให้หันหน้ามาเจรจา ขณะเดียวกันที่ประชุมยังได้หารือถึงแนวทางการ คุ้มครองพลเรือนอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะเด็กและผู้ที่ต้องอพยพย้ายถิ่น รวมทั้งให้ความสำคัญของการดูแลรักษาสถานที่อย่างโรงเรียนและบริการสำคัญต่างๆให้สามารถเปิดบริการได้ตามปกติทูตเขมรปัดทุกข้อกล่าวหาภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม นายเจีย แก้ว เอกอัคร ราชทูต ผู้แทนถาวรกัมพูชาประจำสหประชาชาติ แถลงต่อสื่อว่ากัมพูชาขอให้ไทยหยุดยิงทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข และเรียกร้องให้มีการแก้ไขข้อพิพาทโดยสันติ นายเจียยังพูดด้วยว่าไทยเป็นประเทศที่มีกองทัพขนาดใหญ่ในภูมิภาค จะมากล่าวหาว่ากัมพูชาเป็นประเทศที่มีขนาดเล็กกว่าว่าเป็นฝ่ายเริ่มต้นการโจมตีได้อย่างไร ขณะที่ก่อนหน้านี้นายเจียแถลงยืนยันจุดยืนต่อที่ประชุม UNSC อ้างว่าไทยเป็นฝ่ายใช้กำลังทหารโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของกัมพูชา โดยที่กัมพูชาไม่ได้ยั่วยุ พร้อมเรียกร้องให้ UNSC มีมติให้หยุดยิงทันทีและไม่มีเงื่อนไข พร้อมส่งคณะทำงานค้นหาข้อเท็จจริงแห่งสหประชาชาติไปยังพื้นที่ขัดแย้ง นายเจียยังกล่าวหาว่าเมื่อวันที่ 24 ก.ค.กองทัพไทยได้โจมตีจุดยุทธศาสตร์ของกัมพูชาอย่างจงใจและวางแผนล่วงหน้า พร้อมระบุว่าใช้เครื่องบินรบ F-16 ระเบิดคลัสเตอร์ และปืนใหญ่ นอกจากนี้ไทยยังสร้างความเสียหายต่อวัดและพื้นที่มรดกโลก เช่น วัดพระวิหาร วัดตาเมือน วัดตาโคลง วัดเกาะศรีสวา และวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ พร้อมกันนี้ ยังระบุว่าไทยละเมิดอนุสัญญาหลายฉบับ และขอให้ UNSC ใช้อำนาจตามมาตรา 36 (3) ของกฎบัตรสหประชาชาติ ช่วยอำนวยความสะดวกในการยื่นข้อพิพาทต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เพื่อให้วินิจฉัย พร้อมกันนี้ยังขอให้ประชาคมระหว่างประเทศ และอาเซียน กดดันให้ไทยยุติการรุกราน และยังกล่าวสรุปโดยเน้นที่การแก้ไขปัญหาโดยสันติผ่านกระบวนการยุติธรรมระหว่างประเทศคือแนวทางเหมาะสมและยุติธรรมไทย–เขมรแห่กลับบ้านเกิดส่วนบรรยากาศที่ด่านตลอดแนวชายแดนไทย ตลอดวันที่ 26 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานมีคนกัมพูชาหอบหิ้วสัมภาระขอเดินทางกลับประเทศเป็นจำนวนมาก โดยที่บริเวณจุดผ่านแดนถาวรบ้านหาดเล็ก ต.หาดเล็ก อ.คลองใหญ่ จ.ตราด ตั้งแต่ช่วงสาย ชาวกัมพูชาจำนวนมากแห่กลับเข้าประเทศกัมพูชา และคนไทย 117 ราย ที่ทำงานอยู่ภายในอุตสาหกรรมเกาะกงประเทศกัมพูชา มีความประสงค์จะเดินทางกลับเข้าประเทศไทย ทำให้เกิดความวุ่นวายบริเวณหน้าด่านถาวรหาดเล็ก เบื้องต้น นายเชิดศักดิ์ ชุ่มนาเสียว นายอำเภอคลองใหญ่ ได้ประสานงานชายแดนและหน่วยงานต่างๆ ส่งชาวกัมพูชากลับประเทศที่มีประมาณ 500 คน และรับคนไทยที่ส่วนใหญ่มีหนังสือเดินทางถูกต้อง กลับเข้ามา มีราว 130 คน โดยส่วนใหญ่จะเดินทางกลับภูมิลำเนาของตนเองทันที ทั้งในกรุงเทพฯและจังหวัดอื่นๆนับพันทะลักขอกลับกัมพูชาเช่นเดียวกับที่บริเวณหน้าทางเข้าอาคารผู้โดยสารขาออก ด่าน ตม.อรัญประเทศ จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว หลายหน่วยงานได้สนธิกำลังมาดูแลความสงบเรียบร้อยเนื่องจากมีแรงงานชาวกัมพูชาเกือบ 1,000 คน หอบลูกจูงหลานขนสัมภาระมารอเดินทางกลับ ประเทศจนเต็มพื้นที่ ต่อมากองกำลังบูรพาได้ประสานไปยังฝ่ายกัมพูชา ผ่านทาง จนท.สน.ปทก.ของไทยและ จนท.สน.ปทก.ของกัมพูชา อนุโลมเปิดประตูเล็กข้างด่านพรมแดนคลองลึก ให้ชาวกัมพูชาที่ตกค้างอยู่ในฝั่งไทยเดินทางกลับประเทศและอนุโลมให้คนไทยที่ตกค้างอยู่ในฝั่งกัมพูชากว่า 200 คน เดินทางผ่านประตูเล็กข้างด่าน เข้ามาในประเทศไทยได้ตั้งแต่เวลา 11.00-13.00 น.เฮโลข้ามแดนที่บ้านแหลมส่วนที่ด่านบ้านแหลม ต.เทพนิมิต อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี คนกัมพูชาหลายพันคนมารอข้ามด่านเพื่อกลับประเทศ โดยมีเจ้าหน้าที่หลายหน่วยงานเข้ามาดูแล เปิดประตูใหญ่ทั้งสองฝั่งเพื่อระบายออก แรงงานส่วนใหญ่ระบุว่าที่ต้องการกลับประเทศ เพราะรัฐบาลกัมพูชาเรียกกลับ บางรายไม่อยากกลับแต่กัมพูชาปล่อยข่าวว่าถ้าใครไม่กลับจะตัดชื่อออกจากประเทศ และกลัวสถานการณ์สู้รบตามแนวชายแดน ต้องกลับไปก่อน ส่วนสถานการณ์ทั่วไปยังไม่มีเหตุการณ์ปะทะของทหาร มีเพียงการตรึงกำลังตามแนวชายแดนของทหารทั้งสองฝั่ง ขณะที่หมู่บ้านพื้นที่สีแดงที่อยู่ติดชายแดนทั้งอำเภอสอยดาวและอำเภอโป่งน้ำร้อน ผู้นำชุมชนได้อพยพชาวบ้านบางส่วน เช่น ผู้ป่วยติดเตียง ผู้สูงอายุ เด็กและผู้หญิง ไปที่ศูนย์อพยพแล้ว เหลือไว้เฉพาะผู้ชายและผู้นำชุมชนคอยเฝ้าระวังหมู่บ้านโปรดเกล้าฯ สิ่งของให้ทหารบาดเจ็บขณะที่เวลา 15.00 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ ว่าที่พันตรี อดิศักดิ์ น้อยสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี เชิญดอกไม้และตะกร้าสิ่งของพระราชทาน ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระ นางเจ้าฯ พระบรมราชินี ไปมอบแก่ ร.อ.เทพพิทักษ์ ตั้นภูมิ ส.ต.ธิติวัฒน์ สุดยอด พลทหารวีระศักดิ์ โสภาบุญ พลทหารชัยวัฒน์ ปัดทา พลทหารอาทิตย์ ทองหนู พลทหารธนวัฒน์ แก้วนอก พลทหาร ธนวัฒน์ อินรักษา พลทหารรุ่งธิชัย หร่ายศรบุรี กำลังพลที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนไทย เมื่อวันที่ 25 ก.ค.และเข้ารับการรักษาพยาบาล ณ โรงพยาบาลค่ายสรรพสิทธิประสงค์ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ต่อด้วยเวลา 15.30 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระ กรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี เชิญดอกไม้และตะกร้าสิ่งของพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ไปมอบแก่ ส.อ.ยงยุทธ พิมพกรณ์ กำลังพลที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว และเข้ารับการรักษาพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ อำเภอเมืองอุบลราช ธานี ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระ กรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมทรงรับผู้บาดเจ็บทั้งหมดไว้เป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์และทรงรับศพผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ด้วย การได้รับพระราชทานพระมหากรุณาในครั้งนี้ ยังความปลื้มปีติและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแก่กำลังพลและครอบครัวอย่างหาที่สุดมิได้เพิ่ม 5 ชั้นยศ 4 ทหารสละชีพสำหรับบรรยากาศการรับศพทหารที่เสียชีวิตจากการสู้รบกับกัมพูชา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดวันมีการลำเลียงศพทหารกลับภูมิลำเนาต่อเนื่อง โดยที่วัดบูรพาภิรามพระอารามหลวง ต.ในเมือง อ.เมืองร้อยเอ็ด หน่วยทหารต้นสังกัดจัดพิธีรับศพทหารไทย 4 นาย คือ จ.ส.อ.ธวัชชัย บุสภา ส.อ.นพพล บุญเลิศ ส.อ.กฤษฎา น้อยโคตร และ ส.อ.จิรายุ สิงห์อั้น และมีประกอบพิธีพระราชทานทานน้ำหลวงอาบศพ ในเวลา 15.00 น. ตามด้วยเวลา 15.30 น.พิธีวางพวงมาลาพระราชทาน เวลา 16.00 น. พร้อมเตรียมรถเคลื่อนศพไปยังภูมิลำเนาเพื่อประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลต่อไป โดยศพของทหารที่มีภูมิลำเนาอยู่ร้อยเอ็ด หน่วยทหารต้นสังกัดจะนำร่างไปบ้านเกิด ประกอบด้วย 1.สิบเอกจิรายุ สิงห์อ้น ไปบำเพ็ญกุศล ที่บ้านเลขที่ 124 หมู่ที่ 4 บ้านอ้น ตำบลหัวช้างอำเภอจตุรพักตรพิมาน 2.จ.ส.อ.ธวัชชัย บุสภา นายสิบ ลว.ป.6 พัน.106 อยู่หมู่ 3 บ.โนนสังข์ศรี ต.บ้านซ่ง อ.คำชะอี จังหวัดมุกดาหาร 3.ส.อ.นพพล บุญเลิศ บ้านเลขที่ 172 หมู่ 6 ต.กุดชมภู อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี และ 4.ส.อ.กฤษฎา น้อยโคตร บ้านเลขที่ 37 หมู่ 8 ต.ลือ อ.ปทุมราชวงศา จ.อำนาจเจริญ เพื่อบำเพ็ญกุศลต่อไป ซึ่งทหารที่เสียชีวิตจะได้รับการเพิ่มขึ้น 5 ชั้นยศรับศพทหารกลับภูมิลำเนาขณะที่เวลา 15.15 น. ที่สนามจอดเฮลิคอปเตอร์ภายในกองพลรบพิเศษที่ 1 ค่ายเอราวัณ ต.เขาสามยอด อ.เมืองลพบุรี นายอำพล อังคภากรณ์กุล ผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี เป็นประธานในพิธีรับศพสิบเอกจิรายุส อินทุมาน ทหารจากหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ที่เสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา จากเหตุปะทะกับกองกำลังติดอาวุธ เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 25 ก.ค. ในพื้นที่อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งมีการนำร่างของสิบเอกจิรายุส ซึ่งบรรจุในโลงที่ห่อหุ้มด้วยธงชาติไทยขึ้นรถเพื่อนำไปประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลที่จังหวัดสิงห์บุรี ท่ามกลางความโศกเศร้าของครอบครัวบิดา มารดา ภรรยา ลูก และญาติๆของผู้เสียชีวิต มีข้าราชการทหาร ผู้บังคับบัญชาต้นสังกัด ตั้งแถวรอรับศพอย่างสมเกียรติแพทย์ มช.จัดกล่องห่วงใยนอกจากนี้ ที่บริเวณโถงใต้อาคารสุจิณโณ โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ รศ.ดร.พญ.จิราภรณ์ โกรานา รองคณบดีด้านการฝึกอบรมแพทย์เฉพาะทาง คณะแพทยศาสตร์ มช. พร้อมด้วย ผศ.พญ.จีระนันท์ คุณาชีวะ ผู้ช่วยคณบดีด้านการศึกษาก่อนปริญญา คณะแพทยศาสตร์ มช. และ ผศ.พญ.ปัญจพร วงศ์มณีรุ่ง รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ นำทีมนักศึกษาแพทย์ แพทย์ อาจารย์พยาบาลและเจ้าหน้าที่หลายภาคส่วน จัดเตรียม “กล่องแห่งความห่วงใย” บรรจุของใช้จำเป็น จำนวน 203 ถุง และกำลังใจเพื่อมอบแด่ทหารที่เสียสละทำหน้าที่ปกป้องผืนแผ่นดินไทยอย่างเข้มแข็ง กิจกรรมครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการแสดงออกถึงความห่วงใยต่อผู้ปฏิบัติงานแนวหน้า แต่ยังเป็นการปลูกฝังจิตสำนึกด้านจริยธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคมในหมู่นักศึกษาแพทย์อีกด้วยรวบแก๊งตระเวนทำร้ายเขมรวันเดียวกัน มีรายงานจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หลังผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติสั่งการให้ตำรวจสืบสวนหาข่าวกลุ่มบุคคลที่ใช้โซเชียลมีเดียบิดเบือนข้อมูลอันเป็นเท็จเกี่ยวกับการเปิดรับของบริจาคสิ่งของ และกลุ่มคนที่มีแนวโน้มใช้โซเชียลมีเดียยุโยงปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้งที่อาจนำไปสู่การทำร้ายร่างกาย มีรายงานว่าสามารถจับกุมกลุ่มวัยรุ่นมีนบุรีที่รวมตัวกันตระเวนทำร้ายแรงงานชาวกัมพูชา ย่านกีบหมู ซอยเจริญพัฒนา ซอย 14 แขวงบางชัน เขตคลองสามวา กทม. ชาวกัมพูชาได้รับบาดเจ็บ 3 คน เหตุเกิดเวลา 19.00 น. วันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมา มีการแจ้งความที่ สน.มีนบุรีผู้กระทำผิดมีทั้งหมด 8 คน ได้แก่ นายวิวัฒน์ สันติพงษ์สกุล อายุ 42 ปี นายจิรายุ เปรมเดชา อายุ 22 ปี นายณัฐพงศ์ สิบค้างพลู อายุ 32 ปี นายชาลี นุชกำบัง อายุ 37 ปี นายอภิชาต เปลี่ยนอารมณ์ อายุ 38 ปี นายสุรชัย เจริญสุข อายุ 44 ปี นายกิตติภัทร ด้วงเงิน อายุ 31 ปี และ น.ส. สาวิตรี มานะดี อายุ 38 ปี ทั้งหมดเป็นชาวกรุงเทพฯ อาศัยในเขตคลองสามวา โดยผู้ก่อเหตุทั้งหมดเข้ามอบตัวเมื่อเวลา 23.30 น. วันที่ 25 ก.ค.และรับสารภาพ จึงแจ้งข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกาย และปรับเงินคนละ 1,000 บาท ก่อนปล่อยตัวไปสธ.ร้อง WHO เขมรละเมิดอนุสัญญาเจนีวาช่วงค่ำวันเดียวกัน มีรายงานจากกระทรวงสาธารณสุขว่า นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงสาธารณสุข ได้ลงนามในหนังสือเพื่อส่งถึง นายเทดรอส อัดฮานอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก (WHO) กรณีกัมพูชาละเมิดอนุสัญญาเจนีวาฉบับที่ 4 ค.ศ.1949 ข้อ 18 และ 20 โจมตีที่ส่งผลให้พลเรือนไทยเสียชีวิต 13 ราย ในจำนวนนี้มีเด็กรวมอยู่ด้วย มีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 32 ราย และสร้างความเสียหายแก่สถานพยาบาลและพื้นที่โดยรอบภายในดินแดนของไทย การกระทำดังกล่าวได้สร้างความตื่นตระหนกและความทุกข์ใจ อย่างใหญ่หลวงขอ 3 ข้อให้คุ้มครอง รพ.–บุคลากรเรียกร้องให้องค์การอนามัยโลกดำเนินการ 3 เรื่อง คือ 1.รับรองและบันทึกเหตุการณ์นี้ รวมถึง ผลกระทบในวงกว้างต่อการปกป้องบริการด้านสาธารณสุข ในพื้นที่ชายแดนที่เปราะบาง 2.ส่งเสริมสารทั่วโลกที่เรียกร้องให้มีการเคารพและคุ้มครองโรงพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ตลอดเวลา รวมถึงในช่วง เวลาแห่งความขัดแย้งหรือความตึงเครียดที่เพิ่มสูงขึ้น และ 3.อำนวยความสะดวกในการประสานความร่วมมือกับภาคีที่เกี่ยวข้องเพื่อป้องกันความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นอีก และเพื่อรับประกันความปลอดภัยของ บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ป่วย และโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุข ไทยขอยืนยันอีกครั้งถึงความมุ่งมั่น อันแน่วแน่ต่อหลักนิติธรรมระหว่างประเทศและหลักการพื้นฐานว่าด้วยการคุ้มครองทางมนุษยธรรม เราให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อบทบาทผู้นำขององค์การอนามัยโลกในการธำรงไว้ซึ่งความสมบูรณ์ของระบบสาธารณสุขในทุกสถานการณ์ และเชื่อมั่นว่าข้อกังวล ของเราจะได้รับการพิจารณาอย่างสมเหตุสมผลยอดอพยพคนใกล้หลักแสนต่อมาศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 สรุปสถานการณ์การสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ประจำวันที่ 26 ก.ค. ณ เวลา 16.00 น. ดังนี้ สถานการณ์การสู้รบทั้งสองฝ่ายยังคงวางกำลังในที่ตั้ง เนื่องจากมีฝนตกหนักในพื้นที่ สถานการณ์ไม่เปลี่ยนแปลงจาก เวลา 12.00 น. มากนัก การอพยพประชาชนไปยัง พื้นที่รวบรวมพลเรือน พื้นที่ตอนใน ทั้ง 4 จังหวัดต่อเนื่อง จ.บุรีรัมย์ อพยพ 1 จุด 8,363 คน จ.สุรินทร์ อพยพ 65 จุด 39,350 คน จ.ศรีสะเกษ อพยพ 82 จุด 35,009 คน และ จ.อุบลราชธานี อพยพ 76 จุด 14,709 คน ปัจจุบันดำเนินการอพยพประชาชนออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยเข้าพื้นที่รวบรวมพลเรือนแล้ว 97,431 คน (เพิ่มขึ้น 9,393 คน) ผลกระทบต่อประชาชนพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย บ.หนองถนน ต.โคกว่าน อ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ บ้านสายโท 10 ใต้ และบ้านสายโท 8 ใต้ ต.จันทบเพชร อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ จรวด BM-21 ตกในพื้นที่ 28 นัด ไม่มีรายงานการสูญเสียต่อชีวิตของประชาชนอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่