เข้าวันที่ 3 แล้ว ตำรวจ ปปป. และเจ้าหน้าที่ ป.ป.ท.ยังค้นหาและตรวจสอบเอกสารการเงินของวัดนครสวรรค์ต่อเนื่อง ขณะเดียวกันพบพิรุธยอดเงินบริจาคสร้างพุทธอุทยานฯของ “หลวงพ่อพัฒน์” 30 ล้านไม่ปรากฏในบัญชีวัด เช่นเดียวกับเงินบริจาค ด้าน “บิ๊กเต่า” บอกคืบหน้าไปเยอะน่าจะชัดเจนในเร็ววันนี้ ส่วนเรื่องเงินสดและทองคำแท่งวัดม่วงหายไปนั้น ผกก.สน.เพชรเกษม ขอเวลาอีกระยะน่าจะเห็นอะไรชัดเจน เผยเจ้าอาวาสมักมีอาการหลงๆลืมๆต้องเอาหลักฐานมายันถึงจำได้ ถ้าจำไม่ได้ก็จะโยนให้ไปถามไวยาวัจกร พอไปถามก็บอกบางครั้งก็ลืมเหมือนกันกรณีศูนย์ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาและส่งเสริมพระธรรมวินัย บช.ก.รับการร้องเรียนว่ามีพระผู้ใหญ่ในภาคเหนือตอนล่างมีความสัมพันธ์ชู้สาวกับสีกา และนำเงินบริจาคสร้างศาสนสถานไปใช้จ่ายส่วนตัว ทันทีที่ข่าวออกมาเผยแพร่ พระธรรมวชิรธีรคุณ อดีตเจ้าอาวาสวัดนครสวรรค์ พระอารามหลวง และเจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ ได้ทำหนังสือลาออกทุกตำแหน่งและทำพิธีลาสิกขาทันที พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. เผยผลเส้นเงินอดีตเจ้าอาวาสวัดนครสวรรค์ มีเงินโยงถึงสีกา 2 คน และพระลูกวัดอีก 1 รูป รวมทั้งบัญชีเงินวัดนครสวรรค์-พุทธอุทยานฯมีความผิดปกติ เร่งให้ตำรวจ ปปป.รวบรวมพยานหลักฐานขอหมายเรียก-หมายจับผู้เกี่ยวข้อง ล่าสุดตำรวจ ปปป.ร่วมกับ ป.ป.ท.เข้าตรวจสอบเอกสารที่วิทยาลัยสงฆ์นครสวรรค์ และพระพุทธศรีสัพพัญญู พระประธานในโครงการพุทธอุทยานนครสวรรค์ ที่สร้างมาตั้งแต่ปี 48 ยังไม่เสร็จทั้งๆที่มีข่าวยอดเงินบริจาคมหาศาล ตามที่เสนอข่าวไปนั้นความคืบหน้าในการชำระเหลือบไรในวงการพุทธศาสนา ที่ตำรวจสอบสวนกลางดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 23 ก.ค. พ.ต.อ.สุมรภูมิ ไทยเขียว รอง ผบก.ปปป. นำกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เข้าตรวจค้นสำนักงานเจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ ที่ ต.กลางแดด อ.เมืองนครสวรรค์ ใกล้กับ มจร นครสวรรค์ เพื่อตรวจสอบเอกสารและหลักฐานที่คาดว่าจะมีการเชื่อมโยงเส้นทางการเงิน หรือเอกสารอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง หลังจากนั้นได้นำเอกสารการก่อสร้างพุทธอุทยาน 20 กว่าแฟ้ม กลับมาตรวจสอบที่สำนักงานวิทยาเขตนครสวรรค์พ.ต.อ.สุมรภูมิ ไทยเขียว รอง ผบก.ปปป.เผยว่า ช่วงเช้านี้ได้นำเอกสารก่อสร้างพุทธอุทยานมาตรวจสอบเรื่องการเบิกจ่าย รวมทั้งเอกสารต่างๆ อยู่ที่สำนักงานเจ้าคณะจังหวัด จะนำไปตรวจสอบที่ มจร นครสวรรค์ เพราะมีเจ้าหน้าที่หลายส่วนที่เชี่ยวชาญเข้าช่วยตรวจสอบขณะที่พระครูสุธีธรรมบัณฑิต, ดร. ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดนครสวรรค์ พระอารามหลวง เผยว่า ได้พาเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจเอกสารในสำนักงานเจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ ได้ให้ความร่วมมือตลอดเพราะเอกสารการจัดทำพุทธอุทยานจะอยู่ที่สำนักงานเจ้าคณะทั้งหมด ส่วนเอกสารบัญชีจะมีบริษัททำบัญชีดูแลอยู่แล้ว สำหรับสมุดบัญชีต้องให้ในนามวัดนครสวรรค์ แล้ววงเล็บไว้ว่าปิดทองพระพุทธศรีสัพพัญญู เนื่องจากทางนี้ไม่ใช่นิติบุคคล วันเดียวกัน ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. กล่าวถึงกรณีการตรวจสอบอดีตพระธรรมวชิรธีรคุณ เจ้าอาวาสวัดนครสวรรค์ พระอารามหลวง เจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ หรือสมีสฤษดิ์ ว่า เป็นวันที่ 3 แล้ว ที่ตำรวจ บก.ปปป. ลงพื้นที่ จ.นครสวรรค์ สืบค้นหาข้อมูลพยานหลักฐานต่างๆ ทราบว่าคืบหน้าไปเยอะพอสมควร แต่ยังมีบางส่วนที่ต้องตรวจสอบให้ชัดเจน โดยเฉพาะเส้นเงิน บัญชีต่างๆของวัด คาดว่าจะมีความชัดเจนในเร็วๆนี้รายงานข่าวแจ้งว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังเร่งสอบปากคำและตรวจสอบผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด เนื่องจากยังมีข้อสงสัยหลายประเด็น โดยเฉพาะเรื่องบัญชีรายรับ-รายจ่าย ประเด็นที่ให้ความสนใจเป็นพิเศษคือ เงินบริจาคจากหลวงพ่อพัฒน์ อดีตเจ้าอาวาสวัดห้วยด้วน เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างตรวจสอบอย่างละเอียดว่ามีการถวายเงินเมื่อใด และนำเงินเข้าสู่ระบบบัญชีของวัดหรือไม่ จะตรวจสอบบัญชีธนาคารและรายละเอียดการถวายทั้งหมด เพื่อหายอดเงินรวมทั้งหมดที่หลวงพ่อพัฒน์ได้ถวาย รวมถึงช่วงเวลาที่ถวาย และเหตุใดเงินจำนวนดังกล่าวถึงไม่ปรากฏในบัญชีวัดรายงานระบุอีกว่า เบื้องต้นพบหลักฐานว่า หลวงพ่อพัฒน์ถวายเงินให้วัดนครสวรรค์ 30 ล้านบาท นอกจากนี้แนวทางการสืบสวนยังพบ “สมีสฤษดิ์” ได้เข้าพบหลวงพ่อพัฒน์เป็นการส่วนตัวหลายครั้ง แต่ยังไม่ทราบรายละเอียดว่ามีการมอบเงินให้กันในระหว่างการเข้าพบเหล่านั้นหรือไม่ เนื่องจากข้อมูลระบุว่าหลวงพ่อพัฒน์เป็นพระที่ไม่หวงเงินทองมักจะนำเงินในตู้เซฟมอบให้เสมอหากมีการนำไปใช้ประโยชน์ แต่เป็นอีกเรื่องหนึ่งว่าผู้ที่ได้รับเงินไปจะนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์หรือไม่รายงานข่าวระบุอีกว่า ขณะนี้เงินบริจาคจากหลวงพ่อพัฒน์ยังไม่ปรากฏในบัญชีวัด เจ้าหน้าที่ต้องตรวจสอบบัญชีทั้งหมดอย่างละเอียด ทั้งบัญชีของวัดนครสวรรค์, บัญชีของ มจร วิทยาเขตนครสวรรค์ และบัญชีการก่อสร้างพุทธอุทยานโดยเฉพาะ มจร เนื่องจากมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องทั้งในเรื่องการเรียนการสอนและการก่อสร้างอาคาร นอกจากนี้ ยังต้องตรวจสอบความเชื่อมโยงระหว่าง มจร กับอดีตเจ้าคณะจังหวัด เนื่องจากสีกาคนใกล้ชิดของอดีตเจ้าคณะจังหวัดก็ทำงานอยู่ใน มจร แห่งนี้ด้วย ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังเร่งเชื่อมโยงพยานหลักฐานเพื่อดูว่ามีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร หรือมีการทุจริตส่วนใดบ้าง เนื่องจากวัดนครสวรรค์พระอารามหลวงเป็นวัดที่มีประชาชนไปกราบไหว้จำนวนมาก แต่เงินบริจาคจำนวนมหาศาลจากประชาชนหายไปไหน ไม่เท่านั้นเจ้าหน้าที่ยังตรวจสอบในส่วนอื่นๆที่ประชาชนร้องเรียนเข้ามา คือเรื่องสถานที่การปล่อยเช่าพื้นที่ของวัด กำลังตรวจสอบทุกประเด็นที่เกี่ยวข้อง จากการตรวจค้นเมื่อวานที่พบโฉนดที่ดินในวัดที่มีชื่อสีกาคนสนิทอีกคนของอดีตเจ้าคณะจังหวัด จะต้องตรวจสอบต่อไปถึงที่มาที่ไปของโฉนดเหล่านั้นในส่วนคดีเงินและทองคำรวมมูลค่า 20 กว่าล้านบาทของ “พระราชวัชรพัฒนาทร” หรือ “เจ้าคุณณรงค์” เจ้าอาวาสวัดม่วง ซอยเพชรเกษม 63 หายปริศนานั้น พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. กล่าวว่า การที่ต้องส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง เพราะบัญชีการเงินต่างๆของวัดไม่มีความชัดเจน ส่วนเรื่องทองคำที่สูญหายไปนั้น จากการตรวจสอบเบื้องต้นทราบว่า มีการนำทองคำไปขายแล้ว แต่อ้างภายหลังว่าหลงลืมจำไม่ได้ ส่วนนี้ตำรวจท้องที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ว่ากันไปตามขั้นตอนกฎหมาย ส่วนเรื่องการตรวจสอบที่ไปที่มาทรัพย์สินต่างๆ อยู่ระหว่างตรวจสอบ คาดว่าไม่นานคงชัดเจนเย็นวันเดียวกัน พ.ต.อ.ปราโมทย์ จันทร์บุญแก้ว ผกก.สน.เพชรเกษม กล่าวถึงคดีนี้ว่า ที่ผ่านมาพล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.โชติวัฒน์ เหลืองวิลัย ผบก.สส.บช.น. พ.ต.อ.ธีระชัย เด็ดขาด รอง ผบก.น.9 ได้ประชุมสืบสวนติดตามคดีกันทุกวันดูถึงความคืบหน้าแต่ละประเด็นที่มอบหมายไปเมื่อได้ข้อมูลเกี่ยวกับเงินหรือทองที่หายไปก็จะกลับไปสอบถามเจ้าอาวาสและนายศักดา เลิศฤทธิ์สมบูรณ์ ไวยาวัจกรประจำวัดม่วง วันนี้ก็นัดนายศักดามาสอบถามอีกแต่ขอเลื่อนวันเข้าพบออกไปเพราะป่วยความดันขึ้น“เจ้าอาวาสจะมีอาการหลงๆ ลืมๆพอเอาหลักฐาน มายันถึงจำได้ ถ้าจำไม่ได้ก็จะโยนให้ไปถามนายศักดา ที่ผ่านมานายศักดาก็บอกเหมือนกันบางครั้งก็ลืม ถึงต้องสืบสวนเอาหลักฐานมายันการซื้อขายทองมีจริงหรือไม่ เงินหายไปจริงหรือไม่ ต้องหาหลักฐานมาให้ชัดเจน บางส่วนหายไปหรือบางส่วนขายไปต้องรอหลักฐานจากร้านทอง เป็นต้น เป็นเรื่องละเอียดอ่อนต้องทำให้ชัดเจน นอกจากนี้ยังต้องดูข้อกฎหมายด้วยจะมีความผิดลักษณะใด ขอให้เจ้าหน้าที่ทำงานอีกสักระยะรับรองได้ไม่นานน่าจะเห็นอะไรที่ชัดเจนมากกว่านี้” พ.ต.อ.ปราโมทย์กล่าวอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่