ตำรวจไซเบอร์ขยายผลเครือข่าย “ก๊กอาน” เข้าค้น 7 จุด ในกรุงเทพฯ และ จ.สระแก้ว เป้าหมายหลักเป็นคฤหาสน์หรูย่านประเวศของ “ภูเฌอหลิน” ลูกสาวคนที่ 2 ของก๊กอาน ตรวจยึดตู้เซฟ 7 ใบ และ จ.สระแก้ว อีก 1 ใบ รวมตู้เซฟ 8 ใบ ขณะที่ ผบช. สอท.เผย ตำรวจออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มอีก 6 คน เป็นลูกก๊กอาน 3 คน และสมุนอีก 3 คน คาดทั้งหมด หลบหนีออกนอกประเทศไปแล้ว อายัดทรัพย์สินไว้ ทั้งหมดก่อนถูกยักย้ายถ่ายเทตำรวจขยายผลค้นทลายเครือข่าย “ก๊กอาน” ค้น 7 จุด เปิดเผยเมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 15 ก.ค. พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. สั่งการให้ พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท. พล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์ รอง ผบช.สอท. พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผบก.สอท.1 พล.ต.ต.ศรายุทธ จุณณวัตต์ ผบก.สอท.2 พ.ต.อ.ปรีดา คงจัด รอง ผบก.สอท.1 พ.ต.อ.คมสันต์ กันหา ผกก.4 บก.สอท.1 พ.ต.อ.มนต์ชัย บุญเลิศ ผกก.2 บก.สอท.2 พ.ต.ท.พรชัย บัวด้วง รอง ผกก.4 บก.สอท.1 นำกำลังชุดสืบสวนและกำลังเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) เปิดปฏิบัติการขยายผลเครือข่ายนายก๊กอาน นักธุรกิจชาวกัมพูชา เจ้าของ Crown Casino Resort อาคาร 25 ชั้น อาคาร 18 ชั้น และอาคาร HISO คนใกล้ชิดสมเด็จฮุน เซน ตรวจค้นเป้าหมาย 7 จุด ในพื้นที่กรุงเทพฯ 5 จุดและ จ.สระแก้ว 2 จุด เพื่อติดตามจับกุมผู้กระทำผิดตามหมายจับและตรวจหาพยานหลักฐานเจ้าหน้าที่นำหมายค้นศาลอาญาที่ 568/2568 ค้นคฤหาสน์หรู 3 ชั้น เลขที่ 71 ซอยเฉลิมพระเกียรติ ร.9 ซอย 15 แขวงหนองบอน เขตประเวศ กรุงเทพฯ มูลค่ากว่า 30 ล้านบาท ของ น.ส.ภูเฌอหลิน คล่องกิจกล อายุ 46 ปี ลูกคนที่ 2 ของนายก๊กอาน เป้าหมายสำคัญ เพื่อตรวจยึดคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ หรือหลักฐานอื่นๆของ น.ส.ภูเฌอหลิน เป็นพยานหลักฐานประกอบการสอบสวนไต่สวนมูลฟ้อง หรือพิจารณา มีไว้เป็นความผิดหรือได้มา โดยผิดกฎหมาย หรือได้ใช้ หรือตั้งใจจะใช้ในการ กระทำความผิด เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของศาล อาญา ที่ 4079/2568 ลงวันที่ 14 ก.ค.2568 ในความผิด ฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พบว่า บ้านปิดล็อกไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่ภายในบ้าน ตำรวจประสาน ให้สาวพี่เลี้ยงเป็นคนรับจ้างดูแลลูกของ น.ส.ภูเฌอหลิน มาเป็นพยานและนำพาเข้าตรวจค้น เบื้องต้นให้การว่า น.ส.ภูเฌอหลินเข้ามาพักอาศัยที่บ้านบ้างเป็นครั้งคราว เข้ามาพักครั้งสุดท้ายนานราว 1 เดือน แจ้งว่าไปทำธุรกิจที่ประเทศสิงคโปร์ผลจากการตรวจค้นที่ชั้น 2 พบตู้เซฟ 6 ใบ ส่วนบนชั้น 3 พบตู้เซฟ 3 ใบ เปิดตรวจสอบได้ 2 ใบมีเพียงสมุดกรมธรรม์ประกันชีวิต 2 ฉบับ ส่วนที่เหลืออีก 7 ใบตำรวจตรวจยึดไว้เพื่อรอการตรวจสอบว่ามีทรัพย์สินหรือพยานหลักฐานอื่นหรือไม่ นอกจากนี้ผลการค้นที่ จ.สระแก้ว ตรวจยึดตู้เซฟอีก 1 ใบ รวมตรวจยึดตู้เซฟทั้งหมด 8 ใบ ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 14 ก.ค. ตำรวจไซเบอร์รวบรวมพยานหลักฐานขยายผล ยื่นขอศาลอาญาพิจารณาออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องก่ออาชญากรรมของแก๊งคอลเซ็นเตอร์เพิ่มเติมอีก 6 คน มีผู้ต้องหาที่เป็นระดับตัวการสำคัญที่ศาลอาญาออกหมายจับ 3 ราย เป็นลูกของนายก๊กอาน ประกอบด้วย น.ส.จุรี หรือเชอร์รี่ คล่องกิจกล อายุ 42 ปี น.ส.ภูเฌอหลิน คล่องกิจกล อายุ 46 ปี และนายกิตติศักดิ์ คล่องกิจกล อายุ 49 ปี ร่วมกระทำความผิดข้อหามีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติส่วนผู้ต้องหาอีก 3 คน เป็นคนไทย 2 คน ประกอบด้วยนางอัมพร สมบูรณ์ อายุ 48 ปี ชาวจ.สระแก้ว น.ส.วรรณนิดา คงนาค อายุ 35 ปี ชาว จ.สระแก้ว และเป็นชาวกัมพูชาอีก 1 คนในความผิดเดียวกัน ทั้ง 3 คนเป็นบุคคลใกล้ชิดกับ น.ส.จุรีที่ทำหน้าที่บริหารการเงินให้กับ น.ส.จุรี ภายในตึก 25 ชั้น ฝั่งปอยเปต ประเทศกัมพูชา เป็นผู้เก็บค่าเช่า และส่วนแบ่งผลประโยชน์จากชาวจีนที่มาเช่าอาคาร เปิดออฟฟิศคอลเซ็นเตอร์หลอกคนไทย ตำรวจอยู่ระหว่างการติดตามตัวผู้กระทำผิดทั้งหมดมาดำเนินคดีตามกฎหมายพล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. กล่าวว่า ตำรวจขอศาลออกหมายค้น 7 จุด ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจค้นยังไม่เสร็จสิ้น อยู่ระหว่างรวบรวมเก็บหลักฐาน เบื้องต้นไม่พบบุคคลตามหมายจับทั้ง 6 คน พบเพียงผู้ดูแลบ้านที่กันไว้เป็นพยาน ผู้ต้องหาทั้งหมด 6 คนคาดว่าไม่ได้อยู่ในประเทศแล้ว การตรวจค้นในครั้งนี้จะอายัดทรัพย์สินทั้งหมด หลังจากยึดอายัดทรัพย์มาก่อนหน้านี้กว่า 1,100 ล้านบาท ปฏิบัติการครั้งนี้เครือข่ายผู้ต้องหาไม่รู้ตัว เพื่อป้องกันไม่ให้ยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินออกนอกประเทศ เป้าหมายที่ต้องการคือยึดทรัพย์สินทั้งหมดมาเพื่อเฉลี่ยทรัพย์สินคืนให้กับเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และทำให้โลกรู้ว่า ประเทศไทยปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างจริงจัง ส่วนเรื่องการตรวจสอบบัตรประชาชนของ น.ส.จุรี หรือเชอร์รี่ อยู่ระหว่างประสานกระทรวงมหาดไทยตรวจสอบข้อเท็จจริงขณะที่ พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงความคืบหน้าคดีเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ของนายก๊กอาน นายทุนรายใหญ่ชาวกัมพูชา ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการประสานงานกับองค์การตำรวจสากล ขอออกหมายแดงสำหรับผู้ต้องหาในเครือข่าย หลังออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มเติมอีก 6 ราย ตำรวจเร่งรวบรวมพยานหลักฐานให้ครบถ้วนสมบูรณ์ เนื่องจากคดีนี้มีความเชื่อมโยงทั้งในและต่างประเทศ สิ่งที่สำคัญที่สุดในขณะนี้คือการติดตามหาแหล่งฟอกเงินของเครือข่ายที่คาดว่าตั้งอยู่ในต่างประเทศ เส้นทางการเงินที่นำไปสู่การออกหมายจับผู้ต้องหา 6 ราย ล่าสุดนั้นมีขนาดใหญ่และมีความชัดเจนมาก น่าจะนำไปสู่การขยายผลถึงแหล่งฟอกเงิน วิธีการฟอกเงินในประเทศไทยของเครือข่ายนี้คือการลงทุนในสินทรัพย์ส่วนบุคคล เช่น การซื้อบ้านและรถยนต์พล.ต.อ.ธวัชชัยกล่าวอีกว่า ส่วนของความเชื่อมโยงกับคนไทยอยู่ระหว่างตรวจสอบ หากพบว่ามีคนไทยร่วมขบวนการจริงจะดำเนินคดีด้วยโทษสูงสุดในฐานะ “ไส้ศึก” ส่วนในรูปแบบการลงทุนทำธุรกิจร่วมกับคนไทยยังไม่พบข้อมูล สำหรับบ้านที่ซื้อไว้ทราบว่า เป็นสถานที่สำหรับฟอกเงินและเป็นที่พักให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เดินทางมาพักในประเทศไทยก่อนจะไปยังประเทศที่สาม ตำรวจไทยจะเร่งดำเนินการเรื่องนี้อย่างเต็มที่ เนื่องจากเครือข่ายดังกล่าวไม่ใช่แค่ประเทศไทยเท่านั้นที่ให้ความสนใจ ยังมีอีกหลายประเทศทั่วโลกที่ติดตามคดีนี้อยู่เช่นกันอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่