อื้อฉาวสั่นสะเทือนไปทั้งวงการสงฆ์ “กรณีความสัมพันธ์พระกับสีกา” ที่กลายเป็นคลื่นขนาดใหญ่กำลังถาโถมเข้าใส่ในวงการผ้าเหลือง จนสร้างความเสื่อมศรัทธาอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเมื่อหลักฐานหลายอย่างหลั่งไหลออกมา “ทั้งคลิป ภาพถ่าย ข้อความ ธุรกรรมทางการเงิน” ถูกพาดพิงถึงพระผู้ใหญ่เป็นที่เคารพศรัทธาญาติโยมหลายรูปอย่าง “สีกากอล์ฟกับพระ” จึงไม่ได้แค่เปิดโปงพฤติกรรมส่วนตัวพระบางรูป แต่แหวกม่านให้เห็นความเปราะบางของโครงสร้างสงฆ์ที่ขาดระบบตรวจสอบ และการป้องกันทำให้ปัญหาซุกอยู่ใต้พรมที่ไม่เคยถูกสะสางเปิดออกมา พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ อดีตรอง ผบช.น. บอกว่า ช่วงหลังมานี้ต้องยอมรับว่า “พระผู้ใหญ่หลายรูปตกเป็นเป้าของสังคม” โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสีกากับพฤติกรรมพระที่ไม่เหมาะสม ซึ่งปัญหาเหล่านี้เคยมีมานานแล้วเพียงแต่ไม่ถูกเปิดโปงออกมาเท่านั้นเพราะต้องเข้าใจว่า “พระภิกษุก็เป็นมนุษย์เหมือนคนทั่วไป” ย่อมมีความโลภ โกรธ หลง และมีกิเลสอยู่เสมอ แม้จะบวชแล้วก็ตามหากไม่ได้ฝึกจิตใจอย่างจริงจังก็อาจตกเป็นเหยื่อของสิ่งยั่วยุได้ตลอดเวลาถ้าย้อนดูอดีตก็มี “พระรูปหนึ่งเคยเป็นฤๅษี” ต่อมาก็บวชเป็นพระที่หน้าตาดี เทศน์เก่ง มีผู้คนศรัทธาติดตามบิณฑบาตมากมายและบางคนนำผ้าขาวให้เหยียบนำไปบูชาสะท้อนความคาดหวังของผู้คนที่มีต่อพระรูปนี้ในที่สุดก็ปรากฏว่า “นำเงินบริจาคไปใช้จ่ายซื้อบริการทางเพศในต่างประเทศกลายเป็นข่าวโด่งดัง” แล้วต่อมาก็มีผู้หญิงหลายคนออกมาเปิดเผยความสัมพันธ์ส่วนตัว เพราะในอดีตใครจะเชื่อว่าพระผู้ใหญ่จะมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม เนื่องจากไม่มีหลักฐานออกมาชัดเจน ทำให้เรื่องอื้อฉาวก็ถูกมองเป็นเพียงข่าวลือมาตลอดแต่พอเวลาผ่านมาในยุคนี้ก็เริ่มเปิดเผยกันมากขึ้น “กรณีสีกากอล์ฟกับพระผู้ใหญ่” ที่นำไปสู่การสึกพระหลายรูปไล่เลี่ยกันก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง แม้ในข่าวระบุเพียง 7-8 ราย แต่ความเป็นจริงอาจมีจำนวนมากกว่านั้นส่วนสาเหตุนำมาสู่ “ความสัมพันธ์พระกับสีกา” ด้วยเมื่อพระมีชื่อเสียงเป็นที่เคารพนับถือแล้วมักจะมีผู้คนเข้ามาหาใกล้ชิดจากความศรัทธา และนำสิ่งของไปถวาย โดยเฉพาะผู้หญิงบางคนอาจไม่ได้มีเจตนาบริสุทธิ์ มักจะมีการยั่วยุแต่งกายไม่เหมาะสม เช่น แต่งตัวโป๊ นมหก หรือใช้กลวิธีบางอย่างในการล่อลวงพระเหล่านี้เมื่อใดผลประโยชน์ไม่ลงตัว “หลักฐานเคยถูกเก็บไว้” ไม่ว่าจะเป็นคลิปวิดีโอ หรือข้อความก็จะถูกเปิดโปงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของพระนั้นทันที “ยิ่งพระยุคใหม่ใช้โทรศัพท์มือถือกันเป็นปกติ” ทำให้ใช้เวลาบนหน้าจอมือถือ ดูภาพยนตร์ ดูสิ่งยั่วยุทางเพศ หรือติดตามเนื้อหาทางโลก จนเป็นแหล่งที่ทำให้กิเลสเข้าครอบงำได้ง่ายสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ “เวลาเทศนาสวดมนต์พระบางรูปเปิดบทสวดจากโทรศัพท์มือถือ” โดยอ่านออกเสียงต่อหน้าญาติโยมกลายเป็นการพึ่งพาเทคโนโลยีโดยไม่ฝึกฝนจิตใจ หรือท่องจำคำสอนของพระพุทธศาสนา ต่างจากอดีตที่พระใช้เวลาหลังฉันเพลศึกษาท่องจำพระบาลีร่วมกันแต่ธรรมเนียมเหล่านี้ค่อยๆเลือนหายไปเรื่อยๆแล้วสถานการณ์นี้สะท้อนถึงความผิดเพี้ยนในวงการสงฆ์จึงขอตั้งชื่อว่า “ทฤษฎีงมงาย” โดย “ง.” แทนเงินที่พระมักเกี่ยวข้อง “ม. และ ย.” หมายถึงเมียความสัมพันธ์ทางเพศ “สระอา” สื่อถึงอาญาอย่างการฉ้อโกง หรือกระทำผิดกฎหมาย สิ่งนี้เป็นรากพื้นฐานของมนุษย์ “เพียง แต่เป็นพระก็ควรเป็นผู้ละกิเลส” แต่กลับตกอยู่ในวังวนเช่นเดิมเช่นนี้ก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับ “เพื่อนตำรวจคนหนึ่ง” เคยดูแลการเงินให้พระผู้ใหญ่รูปหนึ่งโดยมีหน้าที่นำปัจจัยไปฝากธนาคารและดูแลบัญชีส่วนตัวมีเงินสูง 2,000 ล้านบาท จากผู้นำมาถวายอยู่ตลอดเพียงแค่ไปฉันเพลที่บ้านก็มีคนถวายถึงหลักล้าน แล้วนำเงินส่วนตัวไปให้ลูกหลานลงทุนในตลาดหุ้น สุดท้ายขาดทุนสูญเงินหลายล้านบาท“สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นพระบางรูปมีทรัพย์สิน และอำนาจใช้จ่ายส่วนตัวอย่างไม่จำกัดขัดกับหลักวินัยนำไปสู่ความเสื่อมศรัทธาในหมู่ประชาชน เรื่องนี้แม้มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมเกิดขึ้นแต่ก็ยังมีหลายกรณีไม่ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับพระชั้นผู้ใหญ่ที่อาจมีความเชื่อมโยงกับผู้มีอำนาจหลายคน” พล.ต.ต.วิชัยว่า จริงๆแล้วประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมานี้ “ความเสื่อมศรัทธาในพระพุทธศาสนาไม่ได้เกิดจากคำสอนที่ผิดเพี้ยน” แต่เกิดจากตัวผู้ปฏิบัติทั้งพระไม่รักษาศีล และฆราวาสที่มีเจตนาไม่บริสุทธิ์เข้ามาเกี่ยวข้องยิ่งทำให้ปัญหาหนักขึ้น ตัวอย่างกรณีคดีสีกากอล์ฟที่ตำรวจกำลังสืบสวนจากข้อร้องเรียนจนพบหลักฐานนำไปสู่ความจริงนั้นสาเหตุหลักมี 2 เรื่อง คือ 1.ความใกล้ชิดส่วนตัว ที่อาจพัฒนาเกินขอบเขต และ 2.เรื่องเงิน ด้วยพระส่วนใหญ่เมื่อเกิดปัญหามักเลือกไม่ต่อสู้ แต่จะยอมจ่ายเงินเพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่นวาย และปิดเรื่องให้เงียบลง อย่างกรณีสีกาที่เป็นข่าวอาจเกิดจากพระไม่ยอมจ่ายตามที่ถูกเรียกร้องจนฝ่ายหญิงออกมาเปิดเผยเรื่องราวหรือไม่อย่างไรก็ดี เชื่อว่า“ไม่ใช่ทำเป็นขบวนการ” ด้วยลักษณะการเข้าหาพระผู้ใหญ่เป็นปกติ เช่น การนำของไปถวายเพียงแต่ผู้หญิงมีรูปร่างหน้าตาดีดูมีฐานะ การเข้าหาพระผู้ใหญ่มักให้เกียรติ หรือเปิดรับคนมีฐานะดีอยู่แล้ว ยิ่งเข้าถวายของบ่อยคลุกคลีใกล้ชิดก็มีโอกาสก่อเกิดความคุ้นเคย สุดท้ายอาจเลยเถิดจนกลายเป็นปัญหาขึ้นด้วยเพราะ “ผู้หญิงมักมีมายา” ในขณะที่พระก็เป็นมนุษย์อาจต้านทานกิเลสไม่ไหวแล้วยิ่งบวชตั้งแต่อายุน้อยอาจขาดประสบการณ์ทางโลก ไม่ทันกลโกง หรือเล่ห์เหลี่ยมของคน “เมื่อมีหญิงเข้ามาใกล้ชิดทำให้หวั่นไหวยอมจนถูกแบล็กเมล์” แล้วก็เชื่อว่าผู้หญิงเหล่านี้มีประสงค์ต่อเงินมากกว่าเรื่องอื่นส่วนที่บางคนอาจคิดว่าหญิงสาวเหล่านี้ “สะสมแต้มเพื่อเข้าถึงอำนาจ หรือตำแหน่งคงไม่ใช่” ดังนั้นการมีความสัมพันธ์กับพระผู้ใหญ่ที่มีเงินจำนวนมากเป็นแรงจูงใจหลักมากกว่า โดยเฉพาะพระผู้ใหญ่บางรูปถือครองทรัพย์มากๆโดยไร้ระบบตรวจสอบทั้งเงินวัด และเงินบริจาคถูกใช้จ่าย หรือโอนได้เสรีกลายเป็นช่องโหว่สำคัญแนวทางการแก้ปัญหา “พฤติกรรมไม่เหมาะสมในวงการสงฆ์” ควรดำเนินการควบคู่กัน 2 เรื่อง คือ 1.ปฏิรูปเชิงระบบ แก้ไข พ.ร.บ. สงฆ์ฯ และจัดระเบียบด้านการเงินแยกระหว่างเงินส่วนตัวของพระกับเงินของวัด หรือเงินบริจาค 2.การปฏิรูปจิตใจและธรรมวินัย แม้ระบบจะดีเพียงใดก็ไร้ผลหากพระไม่มีความเข้มแข็งทางจิตใจเช่นนี้ควรคัดกรองผู้มาบวชให้เข้าใจ “พระธรรมวินัยเบื้องต้น” เน้นอบรมก่อนบวชอย่างเข้มข้น รวมถึงพระผู้ใหญ่ต้องเป็นแบบอย่างด้านศีลธรรม เพื่อเป็นต้นแบบให้พระรุ่นใหม่ละกิเลสได้จริงๆย้ำว่า “ความศรัทธาในพระพุทธศาสนาไม่เคยเสื่อม...แต่คนที่สวมจีวรโดยไม่ละกิเลสมักทำให้เสื่อม” หากเราปฏิรูปทั้งระบบและจิตใจของผู้ปฏิบัติควบคู่กันวงการสงฆ์ก็จะกลับมาน่าเลื่อมใสเช่นเดิม.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม