สัปดาห์ที่ผ่านมาคณะกรรมการ ร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วยสมาคมธนาคารไทย หอการค้า และสภาอุตสาหกรรม กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 และ 2 ได้ส่งหนังสือถึงประธาน กกร. ซึ่งเป็นข้อเสนอเพื่อพิจารณาดำเนินการแก้ไขปัญหาวิกฤติมลพิษข้ามพรมแดนที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมสุขภาพและเศรษฐกิจ จากการปนเปื้อน “สารพิษ” ในแม่น้ำกกและแม่น้ำโขง“สำนักข่าวชายขอบ” เว็บไซต์ www.transbordernews.in.th รายงานรายละเอียดหนังสือฉบับนี้ ระบุว่าสืบเนื่องมาจากการประกอบกิจการเหมือง “แร่ทองคำ” และ “แร่หายาก (rare earth)” ในพื้นที่ตอนใต้ของรัฐฉาน สหภาพเมียนมา ซึ่งเป็นพื้นที่ต้นน้ำของแม่น้ำกกการดำเนินงานของเหมืองดังกล่าวขาดการควบคุมและมาตรฐานการจัดการสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม มีการใช้สารเคมีอันตรายร้ายแรง อาทิ ไซยาไนด์ ในกระบวนการสกัดทองคำ และแอมโมเนียมซัลเฟต สำหรับการชะล้างแร่หายาก โดยไม่มีระบบบำบัดน้ำเสียที่ได้มาตรฐานทำให้สารพิษโลหะหนักถูกปล่อยลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติโดยตรงข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมยังยืนยันถึงการไร้ซึ่งมาตรฐานการป้องกัน อาทิ บ่อกักเก็บตะกอนหรือของเสีย ส่งผลให้มลพิษไหลปนเปื้อนลงสู่แม่น้ำกกอย่างต่อเนื่อง ดังปรากฏหลักฐานเชิงประจักษ์ในรายงานผลการตรวจสอบคุณภาพน้ำโดยสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1ซึ่งตรวจพบสารพิษเกินค่ามาตรฐานในทุกจุดที่ทำการสำรวจ กกร.ตอนบน 1 และ 2 ระบุว่า ผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวได้สร้างความเสียหายในวงกว้างและหลายมิติ หนึ่ง...ด้านสิ่งแวดล้อม เกิดการปนเปื้อนสารพิษในแหล่งน้ำผิวดิน และอาจส่งผลถึงแหล่งน้ำใต้ดิน ทำลายระบบนิเวศทางน้ำและริมตลิ่งอย่างรุนแรงสอง...ด้านสุขภาพ ประชาชนมีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับผลกระทบต่อสุขภาพจากการอุปโภคบริโภคน้ำที่ปนเปื้อนสารพิษและโลหะหนักสาม...ด้านเศรษฐกิจและสังคม ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคประมง ภาคเกษตรกรรม และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว อีกทั้งยังทำลายวิถีชีวิตดั้งเดิมของชุมชนและกลุ่มชาติพันธุ์ที่พึ่งพาทรัพยากรจากแม่น้ำ สี่...ด้านความปลอดภัย เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดดินโคลนถล่ม....ที่อาจพัดพาสารพิษลงมาสร้างความเสียหายในวงกว้างช่วงฤดูน้ำหลาก“ด้วยตระหนักถึงผลกระทบอันใหญ่หลวงดังกล่าว กกร. กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 และ 2 จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ในการนำเสนอประเด็นปัญหาวิกฤตินี้ต่อประธานฯ เพื่อโปรดพิจารณานำเสนอต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อรับทราบและบัญชาให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเจรจาและประสานงานอย่างเร่งด่วนโดยเฉพาะอย่างยิ่งการขอความร่วมมือไปยังเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย เพื่อตรวจสอบและแก้ไขปัญหาการทำเหมืองที่มิได้มาตรฐานและขาดความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีรายงานถึงการเข้าไปลงทุนและใช้แรงงานจากสาธารณรัฐประชาชนจีน”หนังสือฉบับนี้ยังระบุด้วยว่า คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 และ 2 หวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อเสนอดังกล่าวจะได้รับการพิจารณาและผลักดันให้เกิดการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมและเร่งด่วนที่สุดเพื่อปกป้องคุ้มครองสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และคุณภาพของประชาชน ตลอดจนรักษาฐานเศรษฐกิจของภาคเหนือไว้คงศักดิ์ ธรานิศร ประธานหอการค้ากลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 บอกว่า ได้ประสานงานในพื้นที่และสมาชิกต่างเห็นว่าต้องผลักดันปัญหาเรื่องแม่น้ำกกและแม่น้ำสายปนเปื้อนสารโลหะหนักเกินมาตรฐานโดยใช้กรอบ กกร. 3 ฝ่าย ที่เป็นเสาหลักภาคเอกชน เพื่อยื่นข้อเสนอไปยังรัฐบาลได้อย่างมีน้ำหนัก วิกฤติมลพิษข้ามพรมแดนไม่ใช่เรื่องเล็กๆ พบว่ามีการปนเปื้อนสารโลหะหนักสูงเกินค่ามาตรฐาน คือสารหนู ตะกั่ว และปรอทที่สำคัญเศรษฐกิจได้รับผลกระทบทุกด้าน คงศักดิ์ ย้ำว่าแม้จะมีการเสนอมาตรการกระตุ้นก็ช่วยไม่ได้ตราบที่เรายังคงมีสารพิษปนเปื้อนแม่น้ำ เพราะคนทั่วไปไม่ทราบว่าสารหนูจากน้ำกกกระจายไปที่ไหนบ้างและก็ยังเหมารวมไปทั้งหมด ต้องแก้ที่กระดุมเม็ดแรกคือ...ยุติการปล่อยสารโลหะหนักจากต้นทางแม่น้ำกกมีความยาว 285 กิโลเมตร ไหลไปลงแม่น้ำโขงไปถึง 7 จังหวัดอีสาน ซึ่งสารโลหะหนักเหล่านี้อาจกระจายไปได้ ขณะนี้อีสานยังไม่ได้ตรวจ หากตรวจก็จะทราบว่ามีหรือไม่“การแก้ปัญหาที่กระชับที่สุดคือยุติการดำเนินการของเหมือง ที่เชียงรายก็คุยกันว่าต้องให้ต้นสังกัด คือจีน ต้องมาดำเนินการ ดังเช่นที่ทางการจีนได้มาจัดการขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ บอกตรงๆขณะนี้เราพึ่งภาครัฐแทบไม่ได้เลย ก็ต้องทำตามศักยภาพที่ทำได้”ตอกย้ำ...ผลการตรวจคุณภาพน้ำล่าสุด (ครั้งที่ 5) พบว่า ในแม่น้ำกก-แม่น้ำสาย มีสารโลหะหนักเกินค่ามาตรฐานอยู่ 3 ชนิด คือ สารหนู ตะกั่ว และ แมงกานีส เพิ่มขึ้นจากครั้งก่อนๆที่ในแม่น้ำกกพบเพียงสารหนู...ยิ่งเนิ่นนานคุณภาพน้ำก็ยิ่งแย่ สารพิษกระจายสู่แม่น้ำโขงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเพราะ “เหมืองแร่ต้นแม่น้ำ”...ยังปล่อยสารพิษไม่ขาดสาย ผ่านไปกว่า 2 เดือนแทบไม่เห็นข้อเจรจาระหว่าง “รัฐ” ต่อ “รัฐ”...ไม่มีมรรคผลใดๆจากรัฐบาล...มีเพียงทางการจีนแจ้งว่าตรวจสอบแล้วไม่พบว่ามีกิจการของคนจีนเข้าไปทำเหมืองที่ต้นน้ำกก–สาย คำชี้แจงนี้ง่ายไปมั้ย?คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม