บทที่ 25 ในหนังสือ คารมคมปัญญา ข้อคิดทรงคุณค่าเพื่อชีวิตที่งดงาม (ประสิทธิ์ ฉกาจธรรม สุขภาพใจ พิมพ์ พ.ศ.2568) ชื่อ “ที่มาของเสียง”อ่านต้นๆอาจคิดว่าเป็นนิทานแบบไทยๆ แต่ความจริง เป็นเรื่องของจีน เรียบเรียงจาก โอวหยางเหวินจงกงจี่ ยุคราชวงศ์ซ่งเหนือนาย ก.ถามนาย ข.ว่า “นำโลหะมาหลอมเป็นระฆัง นำไม้มาเหลาเป็นท่อน จากนั้นนำท่อนไม้ไปเคาะระฆัง ก็เกิดเสียงดังกังวานเช่นนี้ เสียงอยู่ที่ท่อนไม้ หรืออยู่ที่โลหะ?”นาย ข.ตอบว่า “นำท่อนไม้ไปเคาะกำแพง ก็ไม่เกิดเสียง แต่นำไปเคาะระฆังแล้ว มีเสียงสดใส แสดงว่าเสียงอยู่ที่โลหะ” นาย ก.ไม่เห็นด้วย “นำท่อนไม้ไปเคาะโลหะ ก็ไม่มีเสียง แล้วเสียงจะอยู่ที่โลหะได้อย่างไร?”นาย ข.พยายามอธิบาย “เหรียญนั้นทึบ แต่ระฆังนั้นกลวง เสียงอยู่ในภาชนะที่กลวง”นาย ก.ยังคงสงสัย “นำท่อนไม้ไปเคาะระฆังที่ปั้นจากดินเหนียว ก็ไม่มีเสียงดังกังวาน เสียงจะอยู่ในภาชนะที่กลวงจริงหรือ?”เค้าเรื่องเล่ายุคราชวงศ์ซ่งเหนือมีแค่นี้ ทุกถ้อยคำสำนวนต่อไปนี้ เป็นคำอธิบายของประสิทธิ์ ฉกาจธรรม เองอ่านเรื่องข้างต้นแล้ว ผมนึกถึงบทกวีเกี่ยวกับเสียงพิณยองซูตงพอ กวียุคราชวงศ์ซ่ง ซึ่งน่าสนใจมาก ผมจะทดลองแปลอย่างคร่าวๆให้อ่านกัน“หากเสียงเกิดเองได้จากสายพิณ ใยตั้งไว้ไม่ได้ยินพิณส่งเสียง หากเสียงเกิดจากนิ้วพลิ้วจำเรียง ใยไม่เอียงหูฟังข้างนิ้วคุณ...”โอวหยางชิวและซูตงพอต่างพยายามเตือนสติมนุษย์ผู้สุดโต่งทั้งหลาย ให้ตระหนักในสัจธรรมของโลกสรรพสิ่งต่างอิงอาศัยเป็นเหตุปัจจัยซึ่งกันและกัน ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นและตั้งอยู่อย่างโดดๆ โดยไม่มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งอื่น เสียงระฆังไม่ได้เกิดจากโลหะหรือท่อนไม้อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่นเดียวกับเสียงพิณมิได้กำเนิดจากปลายนิ้วหรือสายพิณเพียงลำพังแต่เกิดจากทั้งสองสิ่งผสมผสานกันอย่างเหมาะเจาะลงตัวรวมทั้งยังต้องอาศัยหูของผู้ฟังมารองรับเสียงที่เกิดขึ้นด้วยเพราะเสียงพิณและเสียงระฆังที่ดังอยู่ท่ามกลางคนหูหนวก ก็คงจะไม่มีความหมายอะไรถ้าใช้ปากกาหมึกดำเขียนลงบนกระดาษสีดำ ย่อมอ่านถ้อยคำไม่ออก แต่หากเขียนลงบนกระดาษสีขาว เราก็จะอ่านได้ชัดเจน สีของกระดาษจึงมีความสำคัญเท่ากับสีของหมึกที่เขียนเพราะตัวอักษรที่เรามองเห็น เป็นผลรวมของสองสีที่แตกต่างกัน น่าเสียดายที่คนทั่วไปมักเข้าใจผิด และให้ความสำคัญเฉพาะสีของตัวอักษรเท่านั้นหลายท่านที่เคยอ่านเรื่องราวของพุทธศาสนานิกายเซน คงจะเข้าใจดีในแนวคิดเชิงปรัชญาว่าด้วย “เอกภาพของความขัดแย้ง”เซนมีปริศนาธรรมเรื่อง “เสียงของการตบมือข้างเดียว” ตบมือข้างเดียวมันไม่ดัง (เพลงเขาว่าอย่างนั้น) ต้องตบมือกับอีกข้าง ไม่ก็ตบหน้า ตบขา ตบแขน หรือตบโต๊ะไปเลย จึงจะมีเสียงดังบ้านเมืองของเราที่วุ่นวายอยู่ทุกวันนี้ก็เช่นเดียวกัน ไม่ได้เกิดจากใครคนใดคนหนึ่ง หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อย่างที่พยายามจะใส่ร้ายป้ายสีกัน แต่เกิดจากเหตุปัจจัยที่หมักหมมอยู่มากมายยาวนาน โดยไม่ได้รับการแก้ไขถ้าไม่ใช่เพราะความอยุติธรรมในสังคมไทยที่ทำให้ผู้คนจำนวนมากเกิดความคับแค้นฝังแน่น เหมือนระเบิดรอเวลาปะทุลำพังเสียงปลุกระดมอย่างเดียว คงเหี่ยวแห้งหมดฤทธิ์ไปนานแล้ว.กิเลน ประลองเชิงคลิกอ่านคอลัมน์ “ชักธงรบ” เพิ่มเติม