นับเป็นปัญหาซ้ำแล้วซ้ำเล่า “กรณีการทุจริตในวงการสงฆ์” โดยเฉพาะอมเงินวัดที่ปรากฏบ่อยครั้งไม่ว่าจะยักยอกเงิน หรือการใช้เงินวัดซื้อของฟุ่มเฟือยอย่างคดีล่าสุด “พระชั้นผู้ใหญ่ถูกออกหมายจับ” ปมยักยอกเงินบริจาคญาติโยมที่มีจิตศรัทธา 300 ล้านบาทโอนให้หญิงคนสนิทเล่นพนันออนไลน์เหตุการณ์นี้สร้างความตกตะลึงให้สาธารณชน “สั่นสะเทือนในวงการพระพุทธศาสนาไทย” ไม่เพียงแต่ทำลายความเชื่อมั่นในตัวบุคคลยังทำลายภาพลักษณ์ของสถาบันศาสนาจนหลายฝ่ายเรียกร้องให้ปฏิรูประบบบริหารจัดการทรัพย์สินในวัด และองค์กรศาสนาให้เกิดความโปร่งใส ลดช่องโหว่ที่อาจนำไปสู่การทุจริตในอนาคตทว่าในทางกฎหมาย “พระสงฆ์แม้มีสถานะเป็นนักบวชในศาสนา” หากกระทำเข้าข่ายความผิดทางอาญาก็ต้องถูกดำเนินคดีเช่นเดียวกับประชาชนทั่วไป และในหลายกรณีที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของวัดจะยิ่งถูกจับตามองเป็นพิเศษ เพราะเป็นทรัพย์สินที่ประชาชนบริจาคด้วยศรัทธา ทัศไนย ไชยแขวง ทนายความอิสระ บอกว่าสังคมไทยยึดถือพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ “วัดและพระสงฆ์” จึงมีบทบาทสำคัญทำให้การจัดการทรัพย์สินที่ได้จากศรัทธาของพุทธศาสนิกชนต้องโปร่งใส เพราะส่งผลโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของประชาชน เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างหลักธรรมวินัยแห่งพระพุทธศาสนากับความจำเป็นในการบริหารจัดการตามกฎหมายถ้ามาดูตามหลักพื้นฐานทางกฎหมาย “พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505” ก็มีการวางกรอบการบริหารจัดการทรัพย์สินของวัดใน ม.40 กำหนดออกเป็น 2 ส่วน คือ 1.ศาสนสมบัติกลาง เป็นทรัพย์สินพระศาสนามิใช่ของวัดใดให้ สนง.พระพุทธศาสนาฯ ดูแลรักษาจัดการ 2.ศาสนสมบัติวัด เป็นทรัพย์สินของวัดให้เป็นหน้าที่เจ้าอาวาสดูแล เมื่อเป็นเช่นนี้ “ทรัพย์สินส่วนบุคคลของพระสงฆ์” ตามกฎหมายไม่ได้ห้ามให้พระสงฆ์สามารถมีทรัพย์สินส่วนตัวได้ แต่ต้องเป็นไปตามหลักธรรมวินัย และไม่ขัดต่อการปฏิบัติธรรม โดยทรัพย์สินเหล่านี้อาจได้มาจากการสืบทอด หรืออาจจะได้จากการบิณฑบาตจากผู้ศรัทธาถวายโดยเจตนาให้กับพระโดยตรงก็ได้ยิ่งกว่านั้นยังสามารถรับทานจากผู้มีศรัทธาโดยระบุชัดเจนว่าให้พระรูปนั้นไม่ใช่เพื่อกิจกรรมของวัดหรือสงฆ์โดยรวม อย่างไรก็ตามการมีทรัพย์สินของพระสงฆ์จะต้องไม่เป็นการขัดต่อจิตวิญญาณของการบวช ซึ่งเน้นความเรียบง่าย การละวางจากกิเลส และไม่ใช่เพื่อการสะสม หรือแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวแต่ถ้าดูหลักกฎหมาย “ทรัพย์สินและมรดกพระสงฆ์” ก็เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งมีสิทธิในทรัพย์สิน และการสืบทอดมรดกเช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป แต่มีข้อพิจารณาพิเศษสำคัญหลายประการอย่างสิทธิการรับมรดกจะสามารถรับจากบิดามารดา หรือญาติพี่น้องได้ตามกฎหมายไม่ว่าจะเป็นมรดกในฐานะทายาทตามพินัยกรรม หรือทายาทโดยธรรม ดังนั้นการบวชจึงไม่ทำให้สูญเสียสิทธิในการสืบทอดมรดกในฐานะทายาทตามกฎหมาย ม.1629 หรือแม้แต่ทรัพย์สินของพระสงฆ์ได้ก่อนอุปสมบทก็ต้องเป็นทรัพย์สินของพระรูปนั้น “ไม่ได้เป็นของวัด” แถมยังสามารถเป็นทรัพย์มรดกตกทอดสู่ทายาทได้อีกในส่วนทรัพย์สินได้มา “ระหว่างอยู่ในสมณเพศ” เมื่อพระสงฆ์มรณภาพให้ทรัพย์ตกแก่วัดที่เป็นภูมิลำเนาของพระรูปนั้น แต่ระหว่างมีชีวิตพระรูปนั้นสามารถจำหน่าย จ่าย โอน หรือทำพินัยกรรมยกให้ใครก็ได้ตามความใน ม.1623, 1624 อย่างไรก็ตามอาจพิจารณาการจัดการมรดกที่ได้รับให้สอดคล้องกับหลักธรรมวินัยด้วย“ความจริงแล้วพระมีสิทธิทำพินัยกรรมสามารถจัดการทรัพย์สินหลังมรณภาพได้ตามหลักการทำพินัยกรรมทั่วไปเพียงแค่ต้องเป็นทรัพย์สินส่วนตัว แต่ทำพินัยกรรมทรัพย์สินของวัดมิได้แล้วพินัยกรรมนั้นระบุให้ทรัพย์มรดกตกแก่ใครก็ได้เพียงแต่พระส่วนใหญ่เลือกให้วัด สถาบันการกุศล หรือกิจการเพื่อสาธารณประโยชน์” ทัศไนย ว่าประการถัดมา “ศาสนสมบัติและทรัพย์สินวัด” เป็นทรัพย์สินมีวัตถุประสงค์เผยแผ่พระพุทธศาสนาและในกิจการของพระศาสนา สำหรับการจัดการทรัพย์สินนี้มี พ.ร.บ.และ พ.ร.ก.หลายฉบับในการจัดการ ทั้งยังกำหนดบุคคล หรือคณะในการบริหารจัดการตั้งแต่สำนักพุทธศาสนา เจ้าอาวาส ไวยาวัจกร และผู้จัดประโยชน์ของวัดบุคคลเหล่านี้จะทำหน้าที่ดูแลควบคุม “การใช้ทรัพย์สินวัด การซื้อขาย จำหน่าย หรือจำนองทรัพย์สินของวัด” เพื่อควบคุมการใช้อำนาจและรักษาผลประโยชน์ของวัด โดยใช้อำนาจหน้าที่ตามกฎกระทรวงการดูแลรักษา และจัดการศาสนสมบัติของวัด พ.ศ.2564 กำหนดแนวทางสำคัญไว้หลายประการไม่ว่าจะเป็นการทำทะเบียนการได้มาของทรัพย์สินที่เป็นสมบัติของวัด การให้เช่าที่วัด หรือสิ่งปลูกสร้าง การจัดการเงินสดตามกฎกระทรวง กำหนดให้วัดที่มีเงินสดเกิน 1 แสนบาทต้องฝากธนาคารในนามของวัด และต้องจัดทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย มีการบันทึกรายละเอียดการเงินทุกรายการโดยการแยกประเภทรายได้ตั้งแต่เงินบริจาค เงินจากการขายดอกไม้ธูปเทียน เงินจากกิจกรรมของวัด แม้แต่การใช้จ่ายเงินวัดก็ต้องผ่านระบบอนุมัติโดยเฉพาะรายจ่ายขนาดใหญ่ต้องอนุมัติจากคณะกรรมการวัด หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และจัดทำเอกสารประกอบการจ่ายเงินให้ครบถ้วน และมีการตรวจสอบภายในอย่างสม่ำเสมอ ย้ำความโปร่งใสในการบริหารจัดการเงิน “เปิดเผยข้อมูลทางการเงินให้ญาติโยม และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทราบ” มีการจัดประชุมแจ้งสถานะทางการเงินของวัดเป็นประจำ และการรับฟังความคิดเห็นจากชุมชนประเด็นว่า “การแยกทรัพย์สินส่วนตัว และทรัพย์สินวัดปัจจุบัน” ในทางปฏิบัติซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นกฎหมายที่เกี่ยวกับทรัพย์สินพระสงฆ์ในอนาคตต้องเน้นหลักการสร้างสมดุลระหว่างการรักษาหลักธรรม พระธรรมวินัยของพระสงฆ์กับความจำเป็นในการจัดการทรัพย์สินให้เป็นระบบทางโลกหรือหลักการบริหารทางการค้าสิ่งสำคัญการรักษาสมดุลปรับตัวให้ทันยุคทันสมัยกับการยึดมั่นในหลักธรรมของพระพุทธศาสนาในการพัฒนาระบบการจัดการมีประสิทธิภาพในการบริหารทรัพย์สินของวัด ล้วนเป็นเป้าหมายสูงสุดที่กฎหมาย และผู้ปฏิบัติต้องร่วมกันให้บรรลุผล ทั้งการบังคับใช้กฎหมายก็ควบคู่ปลูกฝังจิตสำนึกในความรับผิดชอบต่อสาธารณะด้วยฉะนั้นสังคมและเศรษฐกิจที่ซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ “ทรัพย์สินของวัด และทรัพย์สินของพระสงฆ์ที่มีจำนวนมาก” หากไม่มีระบบจัดการชัดเจน และโปร่งใสก็อาจนำไปสู่ปัญหาทางกฎหมาย จริยธรรม และศรัทธาต่อสาธารณชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ตามมา.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม