เป็นเวลากว่าสัปดาห์ ที่กองทัพอิสราเอลและกองทัพอิหร่านยังคงทำศึกกันอย่างดุเดือด ประชาชนจำนวนมากต่างพากันหนีไฟสงคราม เดินทางออกจากเมืองใหญ่ที่ตกเป็นเป้าหมายการโจมตีโดยสถานการณ์เรียกได้ว่า ไม่มีใครยอมให้กัน และต่างฝ่ายต่างผลัดกันโว (ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือเหล่ากองเชียร์) ว่า สร้างความเสียหายแก่ศัตรูได้มากน้อยขนาดไหนอย่างไรก็ตาม ตัวแปรที่น่าเป็นห่วงของเรื่องนี้คือท่าทีของรัฐบาล “สหรัฐอเมริกา” หลังมีกระแสข่าวว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธา นาธิบดี กำลังชั่งน้ำหนักว่า เหมาะสมหรือไม่ที่จะเดินคล้องแขนไปกับอิสราเอล เข้าร่วมการทำสงครามถล่มอิหร่าน มหาอำนาจเปอร์เซียแห่งภูมิภาคตะวันออกกลางและน้ำหนักดูเหมือนจะไปในทิศทาง “เห็นชอบ” เนื่องด้วยมีการจับสังเกตว่า การประชุมฝ่ายความมั่นคงรอบล่าสุดที่แคมป์เดวิด “ทัลซี แกบบาร์ด” ผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติไม่ได้รับเชิญให้ร่วมวงก่อนหน้านี้เมื่อเดือน มี.ค. สำนักข่าวกรองแห่งชาติสหรัฐฯได้จัดทำรายงานต่อสภาคองเกรส ระบุว่า ข้อมูลจาก 18 หน่วยงานข่าวกรองของสหรัฐฯเห็นตรงกันว่า “อิหร่านไม่ได้สร้างอาวุธนิวเคลียร์ และผู้นำสูงสุดอิหร่านก็ไม่ได้อนุมัติในเรื่องนี้ หลังจากเคยสั่งระงับโครงการพัฒนานิวเคลียร์ไปแล้วเมื่อปี 2546 เพื่อเปิดเจรจากับตะวันตก”เช่นเดียวกับรายงานอ้างแหล่งข่าวของ CNN “อิหร่านไม่มีความมุ่งมั่นที่จะครอบครองระเบิดนิวเคลียร์ และต้องใช้เวลาอีกประมาณ 3 ปี ถึงจะมีขีดความสามารถในการผลิตและยิงนิวเคลียร์ไปถล่มคนอื่น”ในช่วงจัดตั้งรัฐบาล ประธานาธิบดีทรัมป์เป็นคนเลือกทัลซี แกบบาร์ด มาดำรงตำแหน่ง ผอ.ข่าวกรอง เพราะต้องการให้นโยบายความมั่นคงของสหรัฐฯ ไม่ถูกกำหนดโดย “อำนาจเบื้องหลัง” Deep State หรือหมายถึงกลุ่มคนทรงอิทธิพลที่ชักใยอยู่เบื้องหลังรัฐบาล แต่มาวันนี้ผู้นำทรัมป์กลับหลุดประโยคที่ว่า “ผมไม่แคร์ว่า (ทัลซี) จะพูดว่าอะไร แต่ผมเชื่อว่าอิหร่านกำลังใกล้ที่จะครอบครองอาวุธนิวเคลียร์”แม้งานนี้ ผอ.แกบบาร์ดจะเคยแก้ต่างว่าไม่ได้มีปัญหากับผู้นำ และโบ้ยไปว่าสื่อมวลชนไม่สนใจรายงานข่าวกรองเรื่องอิหร่าน แต่การที่เจ้าตัวถูกเขี่ยออกจาก “วงใน” ในช่วงเวลาที่สถานการณ์สุ่มเสี่ยงเช่นนี้ ก็ยากที่จะคิดเป็นอื่นว่า ทิศทางสงครามอิหร่านของรัฐบาลสหรัฐฯนั้นเป็นเช่นไร!?ตุ๊ ปากเกร็ดคลิกอ่านคอลัมน์ “หน้าต่างโลก” เพิ่มเติม