ปฏิบัติการสงครามข่าวสารกำลังเป็นเครื่องมือสำคัญ “ถูกนำมาใช้ในสถานการณ์พิพาทเขตแดนไทย และกัมพูชา” ในการปล่อยข่าวปลอม และบิดเบือนข้อมูลผ่านช่องทางโซเชียล “กระตุ้นอารมณ์ความรักชาติ” เพื่อชี้นำความคิดผู้คนให้เกิดความเกลียดชัง และไม่ไว้วางใจระหว่างกันเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆปรากฏการณ์นี้ไม่เพียงขยายรอยร้าว “ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเท่านั้น” แต่ยังสร้างความสับสนโน้มน้าวความคิดของผู้คนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ “ทำลายความเชื่อมั่นของผู้นำ หรือหน่วยงานของรัฐ” เพื่อให้เกิดความไม่ไว้วางใจชิงความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ที่ไม่ต้องใช้กำลังทางทหารกดดันข่มขวัญฝ่ายตรงข้ามวันนี้จึงพาไปล้วงลึกยุทธศาสตร์สงครามไร้เสียงใช้ข้อมูลเป็นกระสุนในความขัดแย้ง โดย ผศ.ดร.สิงห์ สิงห์ขจร คณบดีคณะวิทยาการจัดการ มรภ.บ้านสมเด็จเจ้าพระยา บอกว่า ข้อพิพาทเขตแดนไทย-กัมพูชามีปัญหาทั้งทางบก และทางทะเล ยาว 798- 817 กม. ถูกหยิบยกขึ้นเป็นประเด็นกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมาตลอด อย่างกรณีเขาพระวิหารถูกกล่าวถึงบริบทการเสียดินแดนเป็นปมขัดแย้งให้ประชาชน 2 ประเทศเกิดทัศนคติ หรือแบบแผนส่งผลต่อความเข้าใจ การกระทำตัดสินใจโดยไม่รู้ตัว และอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่สะท้อนผลกระทบของอคติแฝงจากประวัติศาสตร์คือ “เหตุจลาจลในกรุงพนมเปญปี 2546” จาก นสพ.กัมพูชา รายงานข่าวผิดพลาดว่า...นักแสดงหญิงชาวไทยอ้าง “นครวัดเป็นของไทย” กลายเป็นจุดกระแสความไม่พอใจในหมู่ชาวกัมพูชาอย่างรวดเร็ว นำไปสู่การประท้วงก่อจลาจล “เผาสถานทูตไทย” คนไทยในกัมพูชาต้องอพยพออกนอกประเทศ เพื่อหลีกเลี่ยงความรุนแรง ถือเป็นตัวอย่างของผลกระทบจากข่าวเท็จที่บานปลายจนเป็นปัญหาทางการทูตระดับชาติแต่ในยุคปัจจุบันข้อมูลข่าวสารกระจายทุกพื้นที่ที่การสื่อสารไร้ขอบเขตนี้ “ปฏิบัติการทางข้อมูลข่าวสาร” กำลังกลายเป็นเครื่องมือสร้างความแตกแยกส่งผลกระทบได้รุนแรงยิ่งกว่าที่เคยเกิดขึ้นในอดีต โดยเฉพาะข่าวปลอม (Fake News) ถูกเสนอผ่านสังคมออนไลน์เป็นปัจจัยสำคัญก่อให้เกิดความวิตกกังวลในสังคมร่วมสมัยเพราะข่าวปลอมออกแบบให้ประชาชนเกิดความสับสน ตื่นตระหนก คลาดเคลื่อนในการรับข่าวสาร และอาจสร้างความขัดแย้งส่งผลให้เกิดความวุ่นวายในสังคม หรือแม้แต่ก่อเกิดเชิงลบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อย่างล่าสุดเหตุปะทะกันที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี สะท้อนให้เห็นสงครามลูกผสม (Hybrid Warfare) ซึ่งเป็นสงครามยุคใหม่ที่ไม่ได้อาศัยแค่กองกำลังทหารเท่านั้น แต่ผสมผสานหลายมิติทั้งกองกำลังไม่เป็นทางการ สงครามข้อมูลข่าวสาร (IO) การโจมตีทางไซเบอร์ เพื่อสร้างความระส่ำต่อสภาพทางสังคมเน้นไปที่อารมณ์ประชาชน 2 ประเทศ“สงครามยุคใหม่เน้นกดดันผ่านการสื่อสารและการรบทางข้อมูลข่าวสาร โดยใช้บัญชีปลอมควบคุมโดยผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีกำหนดทิศทางข่าว ปล่อยข้อมูลเท็จ และบิดเบือนข้อเท็จจริง ซึ่งปฏิบัติการเหล่านี้ต่างมุ่งบ่อนทำลายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพื่อกระตุ้นความเกลียดชังของแต่ละฝ่ายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว” ผศ.ดร.สิงห์ ว่าจริงๆแล้ว “สงครามข้อมูลข่าวสาร หรือ IO” มักสร้างภาพลักษณ์ให้ฝ่ายตัวเองดูดีที่นำเอาการปฏิบัติการจิตวิทยา และการโฆษณาชวนเชื่อมาประกอบใช้ร่วมกัน โดยมีการปฏิบัติการข่าวสารเชิงรุกในการลดศักยภาพขีดความสามารถของฝ่ายตรงข้าม รวมถึงการยับยั้งปฏิบัติการทำลายแผนของฝ่ายตรงข้ามโดยตรงเพื่อสร้างความได้เปรียบในการรบ “ลักษณะการทำสงครามยุคใหม่” มุ่งทำลายความน่าเชื่อถือของฝ่ายตรงข้ามด้วยกลยุทธ์ข้อมูลข่าวสาร ผ่านการปล่อยข่าวลวง การปฏิบัติการข่าวสารและสงครามทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยมักไม่ระบุแหล่งที่มา ใช้ถ้อยคำกระตุ้นอารมณ์ เพื่อชี้นำความคิด และอิทธิพลการตัดสินใจของเป้าหมาย ไม่ว่าจะทำให้ประหลาดใจ ดูหมิ่นเกลียดชัง การสร้างให้ตื่นกลัว “เมื่อพูดกล่าวบ่อยๆมักจะเป็นเรื่องจริงในการรับรู้ของประชาชน” โดยสร้างข้อมูลซ้ำๆ สำหรับการใส่ร้าย การโจมตี มีทั้งวิธีการทางด้านสังคมและสื่อออนไลน์เป็นปฏิบัติการทางจิตวิทยาควบคุมความคิด ความเชื่อ และบิดเบือนข้อมูลสร้างเรื่องเท็จในสื่อข่าวที่มีอยู่ทว่าการใช้โซเชียล “โจมตีฝ่ายตรงข้ามมักทำผ่านบัญชีอวตาร (avatar)” ซึ่งมี 2 เป้าหมายหลัก คือ 1.การติดตามผู้ที่สนับสนุนฝ่ายตัวเอง หรือผู้ใช้บัญชี IO ด้วยกันเพื่อเพิ่มผู้เห็นข้อมูลในทิศทางเดียวกันอย่างเป็นระบบ 2.ใช้โจมตีฝ่ายตรงข้าม หรือคนมี ความคิดต่างกับฝ่ายตนเอง เพื่อสร้างให้คนรู้สึกว่ามีกองเชียร์สนับสนุนเยอะลักษณะด้อยค่าด้วยเนื้อหาบิดเบือน และก่อกวนบรรยากาศพูดคุยในเนื้อหาเชิงปั่นกระแสให้เกิดการแตกแยก การเผยแพร่ข้อมูลข่าวปลอม สิ่งนี้ไม่เพียงแต่ทำลายความน่าเชื่อถือของฝ่ายตรงข้ามยังเผยแพร่ข้อมูลผิดๆ อย่างเป็นระบบหากมีความเข้มข้นมากพอสามารถชี้นำความเห็น และครอบงำสังคมได้ด้วยซ้ำ อย่างไรก็ดี ข่าวปลอมบางประเภทอาจมีข้อมูลจริงแต่ถูกนำเสนอด้วยอคติ จงใจให้ร้าย แต่สิ่งที่น่ากลัวในยุคนี้คือ “ความสมจริงของภาพคลิปจาก AI” ถูกนำมาทำให้ข่าวปลอมแนบเนียนโน้มน้าวอารมณ์คนได้ง่ายขึ้นอย่างการใช้โปรแกรม AI สร้างภาพตัดต่อปลอมกรณีรองนายกฯของไทยให้สมเด็จฮุน เซน ลูบหัวสะพัดบนโซเชียลย้อนกลับมาดูนับแต่เกิดพิพาทเขตแดน “ความสัมพันธ์ระดับประชาชนระหว่างไทย–กัมพูชา” โดยเฉพาะตามแนวชายแดนยังคงใกล้ชิด มีการค้าขายกันจำนวนมากตามปกติ ซึ่งต่างจากภาพในสื่อออนไลน์ทำให้เป็นศัตรูกันจนไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ ทั้งที่ทั้งสองประเทศมีประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตที่คล้ายกันยิ่งมรดกทางวัฒนธรรมที่ใช้ร่วมกันถูกแสดงออกผ่านออนไลน์ “อ้างสิทธิ์ความเป็นเจ้าของต้นกำเนิดของมรดกทางวัฒนธรรม” ได้ก่อให้เกิดการแข่งขันชาตินิยมอย่างดุเดือด แล้วถูกกระตุ้นด้วยแนวคิดชาตินิยมเน้นความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่ง “ความรักชาติ” ถูกสื่อปลุกเร้าให้เกิดการแบ่งแยกทำให้ความตึงเครียดปะทุรุนแรงยิ่งขึ้น ดังนั้นการสื่อสารทางออนไลน์ส่งผลกระทบมาก “กำลังถูกใช้เป็นเครื่องมือแสวงหาผลประโยชน์” ในการปลุกปั่นสร้างความเกลียดชัง และความแตกแยก ผ่านวาทกรรม ข้อความ รูปภาพหรือวิดีโอที่มีเนื้อหายุยงปลุกระดม มีเป้าหมายแบ่งแยกสังคมเห็นได้ชัดกรณีความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาที่ยิ่งทวีความรุนแรงขยายวงมากขึ้นฉะนั้นวิธีแก้คือ “ต้องให้ความสำคัญการอยู่ร่วมกันฉันมิตร” โดยปราศจากอคติ ความเกลียดชังที่ต้องยอมรับความแตกต่าง “เปิดใจก้าวข้ามความเจ็บปวดร่วมกับคนในชาติ” เพื่อทำหน้าที่เปลี่ยนแปลงความขัดแย้งต่อกันไปสู่การแสวงหาทางออกอย่างสร้างสรรค์ร่วมกัน... ­­­­­­­­คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม