“ดูแล้วน่าเป็นห่วงนะครับ... ในสัปดาห์ก่อน ป่วย (โควิด–19) ไปรักษาที่โรงพยาบาลกว่าแสนคน ราว 5,100 คน ที่ต้องนอนรักษาที่โรงพยาบาล โดยครึ่งหนึ่งเป็นเด็กเล็ก 0–4 ปี และกลุ่มสูงอายุ...ในกลุ่มผู้ป่วยใน เสียชีวิตไป 12 ราย...การควบคุมป้องกันโรคนั้นสำคัญมาก เพราะหากไม่มีประสิทธิภาพ ก็ย่อมส่งผลให้คนป่วยจำนวนมาก กระทบทั้งสุขภาพ เศรษฐกิจ และชีวิตของคนและครอบครัว”ข้างต้นนี้ รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ โพสต์ไว้ในเฟซบุ๊กส่วนตัว “Thira Woratanarat (ป๊ามี้คีน)” ตอกย้ำเตือนให้ระวังตัวการ์ดอย่าตก ไว้เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาวัยรุ่น...วัยทำงานติดจากคอนเสิร์ต แฟนมีต และปาร์ตี้สังสรรค์กันเยอะมาก มีติดกันจากกลุ่มเพื่อนในคลาสและออฟฟิศกันก็เยอะ...สูงอายุติดจากคนในบ้านกันส่วนใหญ่ ยิ่งผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยที่ไม่ใส่หน้ากากป้องกันตัว ยิ่งเสี่ยงรับเชื้อมากขึ้น เด็กเล็กติดจากพ่อแม่หรือคนในบ้านที่เลี้ยงดู หรือมาคลุกคลีเล่นด้วย...เด็กโตติดจากโรงเรียนกันส่วนใหญ่ย้ำว่า...การติดเชื้อไม่ใช่เรื่องปกติ แต่ป้องกันได้ อาศัยความใส่ใจสุขภาพของตนเองและจากแรงกระตุ้นเตือนของคนรอบข้าง ติดแต่ละครั้งทำให้เสียสุขภาพ เสียเวลา เสียเงิน เสียโอกาสต่างๆรวมถึงภาวะผิดปกติระยะยาวที่บั่นทอนคุณภาพชีวิต ยิ่งหากสูญเสียชีวิตนอกจากทำให้ครอบครัวเสียใจมีภาระต่างๆตามมาระยะยาวตื่นรู้ รู้เท่าทันสถานการณ์ ไม่ควรเชื่อคำแนะนำให้ละเลยเพิกเฉยจนจมอยู่กับ “ประจำถิ่น”...“ไม่รุนแรง”...“ติดแล้วไม่ต้องแยกตัว” เพราะจะนำไปสู่ความเสี่ยงต่อตัวเรา ครอบครัว และหายนะสายพันธุ์ของโควิด-19 ที่ระบาดในประเทศไทย ตั้งแต่ช่วงเมษายน-พฤษภาคม 2568 จากฐานข้อมูล GISAID ชี้ให้เห็นชัดเจนว่า NB.1.8.1 หรือ Nimbus เป็นตัวหลักในการระบาดเวฟนี้ที่เรากำลังเผชิญอยู่“จึงไม่แปลกใจว่าการระบาดนี้แพร่ไปอย่างรวดเร็วในวงกว้าง ท่ามกลางสภาพสังคมที่มีคนจำนวนมากไม่ได้ป้องกันตัวอย่างเพียงพอ” รศ.นพ.ธีระ ว่า พลิกแฟ้มข้อมูลก่อนหน้านี้ไม่นานนัก กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ระบุว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) ยังคงให้ความสำคัญกับการติดตามสายพันธุ์โอมิครอน ซึ่งรวมถึงสายพันธุ์ที่ต้องเฝ้าระวังอย่าง JN.1 และสายพันธุ์ที่ต้องจับตามองอีก 6 สายพันธุ์ ได้แก่ KP.3, KP.3.1.1, LB.1, XEC, LP.8.1 และ NB.1.8.1ทั้งนี้ สัดส่วนของสายพันธุ์โอมิครอนทั่วโลก อ้างอิงข้อมูลจากฐานข้อมูลกลาง GISAID ระหว่าง 31 มี.ค.–27 เม.ย.2568 พบว่า LP.8.1 มีสัดส่วนสูงที่สุดในสัปดาห์ที่ 14 (42.0%) แต่มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องจนถึงสัปดาห์ที่ 17 (39.0%)NB.1.8.1 มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่ 14 (2.5%) จนถึงสัปดาห์ที่ 17 (10.7%)XEC มีสัดส่วนลดลงเล็กน้อยจากสัปดาห์ที่ 14 (22.3%) จนถึงสัปดาห์ที่ 17 (17.8%)“NB.1.8.1” เป็นสายพันธุ์ย่อยของโอมิครอน มีต้นกำเนิดมาจากสายพันธุ์ลูกผสม XDV.1.5.1 โดยพบครั้งแรกเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2568 ปัจจุบัน NB.1.8.1 พบใน 22 ประเทศทั่วโลก จำนวนลำดับพันธุกรรมที่พบ 518 ราย ยังน้อยกว่าสายพันธุ์อื่นๆอย่างมากแต่..สิ่งที่น่าสนใจคือสัดส่วนของ NB.1.8.1 เพิ่มขึ้น อย่างต่อเนื่องตลอด 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา บ่งชี้ว่าสายพันธุ์นี้กำลังแพร่หลายมากขึ้น และเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมา องค์การอนามัยโลกได้ประกาศให้ “NB.1.8.1” เป็นสายพันธุ์ที่ต้องจับตามองแล้วสิ่งที่ทำให้ NB.1.8.1 น่าจับตาคือมีการกลายพันธุ์ในตำแหน่งโปรตีนหนามหลายจุดที่เพิ่มเติมจากสายพันธุ์ JN.1รวม 7 ตำแหน่ง ได้แก่ S:T22N, S:F59S, S:G184S, S:A435S, S:F456L, S:T478I, S:Q493E ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการแพร่กระจายและหลบหลีกภูมิคุ้มกันอย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีข้อมูลว่า NB.1.8.1 อาจจะแพร่กระจายได้ง่ายขึ้น และหลบภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้น แต่ยังไม่มีหลักฐานว่าทำให้เกิดโรครุนแรงมากขึ้นวิวัฒนาการของไวรัส SARS-CoV-2 สายพันธุ์โอมิครอน มีการกลายพันธุ์และแตกแขนงออกเป็นสายพันธุ์ย่อยมากมาย ซึ่งแต่ละสายพันธุ์ย่อยก็มีการกลายพันธุ์เพิ่มเติมอีก การติดตามการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มีความสำคัญในการทำความเข้าใจพฤติกรรมของไวรัส และพัฒนากลยุทธ์ในการรับมือกับการระบาด รศ.นพ.ธีระ บอกอีกว่า การแพทย์แผนปัจจุบันนั้น มีแนวทางการดูแลรักษาและการป้องกันที่เป็นมาตรฐานสำหรับโรคต่างๆ โดยผ่านการศึกษาวิจัยตามขั้นตอน ให้ทราบถึงสรรพคุณและความปลอดภัย มีหลักฐานวิชาการเชิงประจักษ์ที่พิสูจน์ได้ และเป็นที่ยอมรับของวงการวิชาชีพดังนั้น...ประชาชนจึงไม่ควรหลงเชื่อโฆษณา ประชาสัมพันธ์ การปั่นข่าวลวง ทั้งที่มาจากความเชื่องมงาย กิเลส รวมถึงที่หวังผลเชิงพาณิชย์ ข่าวลวงและโฆษณาเหล่านั้นมักเล่นกับความกลัวและล่อให้ติดกับที่วางไว้ อาทิ ทำให้กลัววัคซีน กลัวยา กลัววิธีรักษามาตรฐาน“เรามีบทเรียนมากมายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทั้งเรื่องกัญชา กระท่อม ยาสมุนไพรผีบอก ยาฆ่าพยาธิ บริการล้างพิษ จึงไม่ควรเชื่อโฆษณาหรือข่าวลวงเหล่านั้น ซึ่งปัจจุบันขยายไปทุกหัวระแหง ครอบคลุมโรคต่างๆมากมาย ทั้งโควิด-19 มะเร็ง สมองเสื่อม โรคหัวใจ เบาหวาน ความดันสูง ไขมันสูง ต้อหินต้อกระจก ฯลฯ”ย้ำ...ไม่ควรเชื่อโฆษณาทางโซเชียลที่มีลักษณะข้างต้น ขอให้มีสติ มีต่อมเอ๊ะ และสอบถามจากแพทย์ที่มีมาตรฐานทางวิชาชีพ เพื่อสวัสดิภาพและความปลอดภัยในชีวิตของตัวเรา ครอบครัวและสังคมครับ...“การมีสติ ไม่ประมาท รู้จักระมัดระวังตัว เป็นสิ่งจำเป็น”.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม