อุทิศตัวมาทำหน้าที่ประธานสภาวัฒนธรรมไทย-จีน และส่งเสริมความสัมพันธ์ เพื่อเป็นสะพานเล็กๆเชื่อมสัมพันธภาพระหว่างไทย-จีน ให้มั่นคงแน่นแฟ้นยิ่งกว่าเสริมใยเหล็ก ล่าสุด “พินิจ จารุสมบัติ” อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี 8 สมัย รับบทบาทใหม่ “รองประธานสภาสหพันธ์ขงจื๊อนานาชาติ” ผลักดันประเทศไทยให้เป็นเจ้าภาพจัดงานใหญ่แห่งปี “ฟอรั่มอารยธรรมแห่งความปรองดอง ประจำปี 2025” ระหว่างวันที่ 9-10 มิถุนายนนี้ เพื่อร่วมเฉลิมฉลองโอกาสสำคัญ 50 ปี ของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการระหว่างไทย-จีน “วันนี้เราอ่านอนาคตจากความจริงว่าจีนคือตลาดการค้า จึงต้องเร่งพัฒนาความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้น ต้องพยายามเสริมสร้างมิตรภาพไม่ให้มีช่องโหว่ ต้องสนับสนุนให้มีการไปมาหาสู่พูดคุยกัน, แลกเปลี่ยน, สัมมนา, จัดโรดโชว์ และแนะนำสินค้า วันนี้รัฐบาลจีนประกาศแก้ปัญหาความยากจนให้หมดสิ้น และกำลังยกระดับคนมีกินมีใช้ให้แบ่งปันอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน หมายความว่าประชาชนชาวจีนที่มีรายได้ปานกลางจะพ้นจากความยากจนขึ้นมาอีก 800–900 ล้านคน ฉะนั้นอำนาจการซื้อจะใหญ่มาก ความต้องการสินค้า, อาหาร, ผลไม้ และเนื้อสัตว์ ย่อมส่งผลมาถึงประเทศไทย เราจะต้องยกระดับเศรษฐกิจ และตัวเลขการค้าระหว่างไทยกับจีนให้มากขึ้น จากขณะนี้ปี 2024 มีมูลค่า 130,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต้องเพิ่มเป็น 5 แสนล้าน และเป็นล้านล้านให้ได้ เมื่อมีเป้าหมายแล้วก็ต้องแบ่งหน้าที่กันไป ใครไปมณฑลไหนเมืองไหน จะนำผลิตภัณฑ์อะไร ผลไม้พืชผลทางการเกษตรประเภทไหนไปบุกตามมณฑลต่างๆ เราต้องร่วมมือกับจีนพัฒนาความสัมพันธ์แบบก้าวกระโดด โดยเน้นด้านเศรษฐกิจการลงทุนทุกมิติ”...รองประธานสภาสหพันธ์ขงจื๊อนานาชาติแสดงวิสัยทัศน์เพื่อประเทศชาติ50 ปีมิตรภาพไทย–จีน จะปูทางสู่การร่วมสร้างฝันประชาคมอย่างไรปี 2025 เป็นปีครบรอบ 50 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-จีน จึงถือเป็นปีทองแห่งมิตรภาพที่ยั่งยืนระหว่างไทย-จีน ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ไทย-จีน แต่ยังเป็นก้าวสำคัญสำหรับปูทางสู่อีก 50 ปีข้างหน้าในการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนให้ดียิ่งขึ้น และแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ดุจครอบครัวเดียวกัน เพื่อสร้างอนาคตร่วมกัน ที่มีทั้งความมั่นคง, มั่งคั่ง และยั่งยืน “สหพันธ์ขงจื๊อนานาชาติ” มีบทบาทสำคัญอย่างไรในเวทีระดับโลกภายในสหพันธ์ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญ, นักวิชาการ และนักวิจัยปรัชญาขงจื๊อจาก 119 ประเทศและเขตพื้นที่ ใน 5 ทวีป โดยเมื่อปี 2018 เราได้รับมอบหมายจากคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติให้เป็นองค์กรที่ปรึกษาพิเศษ เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลรักษาความหลากหลายของอารยธรรมโลก และเป็นผู้ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนอารยธรรมที่แตกต่างกัน โดยใช้ลักษณะพิเศษของตนในด้านความเป็นวิชาการ, ความเป็นสากล, ความใกล้ชิดกับประชาชนและความเป็นวิชาชีพ เพื่อให้องค์กรนอกภาครัฐระดับนานาชาติ ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันในด้านวัฒนธรรมให้ดียิ่งขึ้น และให้อารยธรรมที่แตกต่างกันได้มีโอกาสร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน โดยตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา สหพันธ์ของเราได้พัฒนารุดหน้าไปอย่างมาก และได้บรรลุผลสำเร็จหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการจัดฟอรั่มอารยธรรมแห่งความปรองดองต่อเนื่องกันทุกปี, การฝึกอบรมนักวิชาการรุ่นใหม่ด้านจีนศึกษา, การจัดทำวารสารปรัชญาขงจื๊อนานาชาติ ฉบับภาษาจีนและภาษาอังกฤษ, การบรรยายของสหพันธ์ขงจื๊อนานาชาติ และจัดทำชุดหนังสือมุมมองใหม่สำหรับวัฒนธรรมจีน “สหพันธ์ขงจื๊อนานาชาติ” ถือกำเนิดขึ้นได้อย่างไร“สหพันธ์ขงจื๊อนานาชาติ” เป็นองค์กรวิชาการด้านวัฒนธรรมระดับนานาชาติ ซึ่งเกิดจากการรวมกลุ่มของกลุ่มนักวิชาการด้านปรัชญาขงจื๊อจากประเทศจีน, เกาหลี, ญี่ปุ่น, สหรัฐอเมริกา, เยอรมนี, สิงคโปร์, เวียดนาม, ฮ่องกง และไต้หวัน โดยยึดหลักความเสมอภาค, การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน, การเปิดกว้าง และการยอมรับความแตกต่าง ได้ก่อตั้งอย่างเป็นทางการ ณ กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 1994 ต่อมาจดทะเบียนที่กระทรวงกิจการพลเมืองแห่งประเทศจีนในเดือนกรกฎาคม 1995 ภายใต้ชื่อ “สหพันธ์ขงจื๊อนานาชาติ” มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน อะไรคือเป้าหมายใหญ่ของการจัดฟอรั่มอารยธรรมแห่งความปรองดองฟอรั่มอารยธรรมแห่งความปรองดอง ริเริ่มจัดขึ้นเมื่อปี 2020 โดย “สหพันธ์ขงจื๊อนานาชาติ” ซึ่งประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ให้เกียรติมาร่วมงานด้วยตัวเอง ฟอรั่มแห่งนี้ถือเป็นเวทีสำหรับการเสวนาและการแลกเปลี่ยนทางวิชาการด้านอารยธรรม และส่งเสริมการแลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรม เพื่อประยุกต์ใช้ปรัชญาแห่งความปรองดองที่เป็นปรัชญาตะวันออก รับมือกับการเปลี่ยนแปลงแห่งยุคสมัย ตลอดจนสร้างฉันทามติ เพื่อความไว้วางใจซึ่งกันและกัน และก้าวสู่อนาคตอันสดใสดีงามด้วยกัน อะไรคือหลักการโดดเด่นของ “ขงจื๊อ” ที่แผ่อิทธิพลเหนือกาลเวลาแนวคิดหลักของขงจื๊อมี “เหริน” และ “หลี่” เป็นแกนกลาง ครอบคลุมหลายมิติ ทั้งจริยธรรม, การบริหารสังคม และปรัชญาการศึกษา สร้างเป็นระบบปรัชญาหยู ที่ส่งอิทธิพลลึกซึ้งต่อวัฒนธรรมประเพณีและระเบียบสังคมจีน แก่นปรัชญาหลักขงจื๊อคือ ผู้มีเหรินรักเพื่อนมนุษย์ เน้นความเห็นอกเห็นใจและการเข้าใจความรู้สึกผู้อื่น มีหลักปฏิบัติสำคัญว่าสิ่งใดที่ตนไม่ปรารถนา อย่าทำแก่ผู้อื่น และให้สร้างสัมพันธ์อันกลมเกลียวผ่านการเอื้ออาทร ส่วนคำว่า “หลี่” เป็นอุดมคติจากระบบชนชั้นราชวงศ์โจว คอยควบคุมพฤติกรรมผ่านการข่มใจและคืนสู่จารีต ขงจื๊อสอนให้รักษาระเบียบสังคมด้วยแนวคิดการกำหนดบทบาทสังคมให้ชัดเจน คือผู้ปกครองต้องเป็นผู้ปกครอง ผู้อยู่ใต้ปกครองต้องเป็นผู้อยู่ใต้ปกครอง บิดาต้องเป็นบิดา บุตรต้องเป็นบุตร ตามหลักขงจื๊อยังมุ่งเน้นการปกครองด้วยคุณธรรมเหนือกฎหมาย และคัดค้านการลงโทษรุนแรง เรียกร้องให้ผู้ปกครองเป็นแบบอย่างทางศีลธรรม สร้างสังคมมั่นคงผ่านรัฐบาลที่มีเมตตา ขงจื๊อเชื่อว่าต้องเลือกคนดีมีฝีมือ โดยเน้นการคัดเลือกผู้มีความรู้และคุณธรรม พร้อมส่งเสริมการปกครองที่โปร่งใส สำหรับด้านการศึกษา ขงจื๊อเชื่อว่าควรเปิดกว้างโดยไม่แบ่งชนชั้น ทลายการผูกขาดการศึกษาของชนชั้นสูง และยืนยันในสิทธิทางการศึกษาที่เท่าเทียมกันของทุกคน อิทธิพลของขงจื๊อต่ออนุชนรุ่นหลังลึกซึ้งและยั่งยืน กลายเป็นหลักเกณฑ์สำคัญของการปกครองประเทศและการฝึกฝนตนเอง อีกทั้งวางรากฐานแนวคิดการศึกษาสำหรับสามัญชนว่าการศึกษาควรเปิดกว้างโดยไม่แบ่งชนชั้น ทำให้อารยธรรมจีนสืบทอดมาอย่างไม่สิ้นสุดถึงปัจจุบัน เหตุใดไทยกับจีนจึงมีสัมพันธ์แน่นแฟ้นดุจครอบครัวเดียวกันไทยและจีนมีสัมพันธไมตรีและติดต่อค้าขายระหว่างกันมาช้านานกว่า 700 ปี ส่งผลให้วัฒนธรรมและประเพณีของจีนผสมผสานกับของไทย จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนไทยในปัจจุบัน นอกจากนี้ ประเทศไทยยังเป็นประเทศที่มีคนเชื้อสายจีนอยู่จำนวนมาก ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยามีคนต่างชาติเข้ามาอยู่บ้านเราเยอะ มีทั้งฝรั่งและจีนเข้ามาค้าขาย ยุคนั้นมีการออกกฎหมายตราสามดวงไม่ให้คนไทยแต่งงานกับคนต่างชาติ แต่ยกเว้นคนจีน ทำให้คนไทยและคนจีนมีความใกล้ชิดกันดังเครือญาติ จนมีคำกล่าวว่า “จีน-ไทย ใช่อื่นไกล พี่น้องกัน” นับตั้งแต่สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 1975 ความสัมพันธ์ไทย-จีนก็มีความใกล้ชิดมาตลอด มีการแลกเปลี่ยนการเยือนในทุกระดับ และขยายความร่วมมือเชิงลึกในทุกมิติ การเสด็จฯเยือนจีนของพระบรมวงศานุวงศ์ของไทย ก็มีส่วนสำคัญต่อการเสริมสร้างและกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีนให้แน่นแฟ้นขึ้น รวมทั้งส่งเสริม มิตรภาพและความเข้าใจระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศ ปัจจุบันจีนถือเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทย และตลาดนักท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของไทย“ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง” ให้ความสำคัญกับไทยและ อาเซียนเพียงใดย้อนไปเมื่อปี 2022 การเดินทางมาร่วมประชุมผู้นำเอเปกที่ประเทศไทยของ “ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง” ได้สร้างความเชื่อมั่นและสร้างความอบอุ่นระหว่างไทย-จีน ในฐานะที่เป็นพี่น้องกันและมิตรแท้ยามยาก ตอกย้ำว่าไทยกับจีนเป็นประเทศเพื่อนมิตรที่มีความใกล้ชิดกันมาก ผู้นำทั้งสองประเทศได้พบปะกันหลายครั้ง และร่วมกันส่งเสริมการสร้างประชาคมไทย-จีน ที่มีอนาคตร่วมกันให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น ความร่วมมือในด้านต่างๆระหว่างทั้งสองฝ่ายมีความก้าวหน้าในเชิงบวก และนำมาซึ่งผลประโยชน์แท้จริงแก่ประชาชนทั้งสองประเทศ ทำให้ไทยและจีนเป็นแบบอย่างที่ดีแห่งสันติภาพ, มิตรภาพ และการให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2021 “ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง” ได้ประกาศอย่างเป็นทางการในการสร้างความสัมพันธ์หุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์แบบครอบคลุมระหว่างจีนกับอาเซียน กลายเป็นต้นแบบความสำเร็จในการสร้างความร่วมมือภายในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และเป็นตัวอย่างที่ดีในการส่งเสริมการสร้างประชาคมร่วมอนาคตแห่งมนุษยชาติ การที่จีนแสดงท่าทีในเอเปก ด้วยการยืนหยัดหลักการที่จะสร้างความร่วมมือกับเขตเศรษฐกิจต่างๆ เพื่อได้รับชัยชนะร่วมกัน ทำให้ภาพลักษณ์ของจีนเป็นที่ยอมรับจากเขตเศรษฐกิจอื่นๆมากขึ้น และพัฒนาไปสู่การเป็นแกนนำของโลกขั้วใหม่ ซึ่งมีประเทศใหญ่ๆให้การสนับสนุนมากมาย.ทีมข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐอ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” เพิ่มเติม