ถนนบรรทัดทอง...หนึ่งในย่านสตรีทฟู้ดชื่อดังใจกลางกรุง ที่นักชิม นักชิลต่างรู้จักดี พื้นที่แห่งนี้อยู่ภายใต้การดูแลของสำนักงานจัดการทรัพย์สิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (PMCU)ตลอดเส้นทาง 1.5 กิโลเมตร จากแยกพระราม 4 ถึงแยกเจริญผล ถือเป็นโซนพื้นที่ให้เช่า“สวนหลวง–บรรทัดทอง” ที่ “PMCU” จัดสรรเป็นทรัพย์สินเชิงพาณิชย์ แต่ช่วงไตรมาสแรกปี 2568 ที่ผ่านมา ย่านนี้กลับเผชิญกระแสข่าวร้อนแรงบนโลกออนไลน์เกี่ยวกับ “ค่าเช่าพื้นที่สูง” เป็นสมรภูมิการค้าที่ดุเดือดจนผู้ค้าบางรายสู้ไม่ไหว ต้องถอดใจโยกย้ายหรือปิดร้านไป เกิดเป็นคำถามว่าถนนที่เคยรถติดหนาแน่นช่วงค่ำคืนโดยเฉพาะสุดสัปดาห์ เหตุใดจึงเกิดปัญหานี้ขึ้น? คงต้องติดตามกันต่อไปว่าถนนเส้นนี้จะยังคงเป็น “ถนนทองคำ” ที่สร้างโอกาสหรือจะกลายเป็น “ถนนวิบากกรรม” ที่ทำให้ผู้ค้าต้องโบกมือลาทั้งที่เคยเป็น “แหล่งทองคำ” ของนักลงทุน ไฉนกลับกลายเป็น “หลุมพรางธุรกิจ” ไปได้ผู้สันทัดกรณีในแวดวงธุรกิจร้านอาหาร มองว่า ในช่วงไม่กี่ปี ที่ผ่านมา “ย่านบรรทัดทอง” ได้กลายเป็นเป้าหมายของผู้ประกอบการร้านอาหารหน้าใหม่ที่มองเห็นทำเลทองอยู่ใจกลางเมือง ใกล้จุฬาฯ เต็มไปด้วยนักศึกษา วัยรุ่น และผู้มีรายได้ปานกลางถึงสูงย้อนไปในช่วงปี 2565-2567 ย่านบรรทัดทองได้รับความนิยมสูงจากการรีวิวบนแพลตฟอร์มโซเชียล การเกิดขึ้นของคาเฟ่แนวใหม่ๆ...ร้านอาหารที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ นักลงทุนร้านอาหารมือใหม่หลั่งไหลสิ่งที่เกิดขึ้นคือ “ฟองสบู่ร้านอาหาร” มีอุปทานใหม่เข้าสู่ตลาดมากกว่าความต้องการจริงหลายเท่า เจ้าของพื้นที่จึงเริ่มขึ้นค่าเช่าอย่างรวดเร็วในบางจุด ผู้ลงทุนที่จ่ายค่าเช่าสูงหวังคืนทุนไวภายใน 6-12 เดือน แต่ยอดขายกลับไม่ถึงจุดคุ้มทุน ทำให้เกิดภาวะ...จ่ายค่าเช่าราคาสูงโดยไม่สามารถแปลงเป็นกำไรได้จริงแต่ในปี 2568 กลับปรากฏปรากฏการณ์ที่ไม่คาดคิด...สำคัญคือ “ตลาดอิ่มตัวอย่างรุนแรง” ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีร้านอาหารเปิดใหม่ในย่านบรรทัดทองมากกว่า 100 แห่ง แต่ลูกค้าไม่เพิ่มขึ้นตามอัตราการเปิดร้าน อีกทั้งพฤติกรรมผู้บริโภค “เลือกมากขึ้น” และ “เปลี่ยนใจง่าย”แน่นอนว่าร้านที่ไม่มีเอกลักษณ์ หรือขายประสบการณ์ที่ “เหมือนใครๆ” มักถูกลืมเร็ว...ผลลัพธ์ร้านใหม่เจอการแข่งขันสูง แต่ไม่มีความได้เปรียบเชิงแบรนด์อีกประเด็นสำคัญคือค่าดำเนินการพุ่ง “ต้นทุนสูง” แซงรายได้ หลายร้านในบรรทัดทองปี 2568 เจอ “กับดักต้นทุน” ที่อันตราย... ค่าเช่าพื้นที่สูงลิ่ว...ค่าจ้างพนักงานที่ขยับตามนโยบายแรงงานขั้นต่ำนับรวมไปถึง...ค่าวัตถุดิบอาหารผันผวนและมีแนวโน้มสูงขึ้น ในขณะที่ยอดขายไม่แน่นอนทำให้ร้าน “แดงตั้งแต่เดือนแรก” ร้านที่ไม่มีเงินทุนหมุนเวียนหรือวางแผนการเงินรัดกุม จึงอยู่ไม่รอดพุ่งเป้าไปที่ประเด็นปมดราม่า “ค่าเช่า” ฉุดรั้งต้นทุนพุ่งอย่างมหาศาล กรณีที่ระบุว่าจาก 24,000 บาท เป็น 110,000 บาท “Thairath Money” รายงานว่า ทาง PMCU ได้ออกมาชี้แจง ประเด็นที่หนึ่งค่าเช่าแรกที่ทางร้านจ่ายให้ PMCU จำนวน 24,000 บาทนั้น เป็นค่าเช่าสำหรับ “ครึ่งเดือนแรก” เท่านั้นในเดือนถัดมา ทางร้านชำระด้วยอัตราเต็มเดือน ซึ่งไม่ใช่ยอด 24,000 บาทประเด็นที่สอง...ค่าเช่าในปัจจุบันตามที่ร้านแจ้งว่าเป็น 110,000 บาทนั้น เป็นค่าเช่าสำหรับ “สองห้อง” ซึ่งทางร้านได้ขอขยายพื้นที่ในช่วงที่ขายดีมากนโยบายการกำหนดค่าเช่าพื้นที่ในย่านบรรทัดทองนั้น กำหนดราคาตามความต้องการของตลาดและปัจจุบันพื้นที่นี้มีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง ทำให้มีดีมานด์ของผู้เช่าใหม่ๆเข้ามา เปิดร้านจำนวนมากด้วยเหตุนี้พื้นที่จึงมีผู้เช่าเต็มส่งผลให้เกิดปัญหาตามมาคือ การเช่าช่วงต่อและการเซ้งร้านในราคาที่สูงเกินจริง โดยไม่แจ้งให้ทาง PMCU รับรู้ ทำให้เกิดปัญหาค่าเช่าที่สูงมาก ซึ่ง PMCU ไม่ได้นิ่งนอนใจและกำลังวางมาตรการควบคุมเพื่อปกป้องผลประโยชน์ผู้เช่าปัจจุบันและอนาคตน่าสนใจว่าแม้ย่าน “บรรทัดทอง” จะมีทำเลดี แต่ก็ไม่เหมาะกับทุกคอนเซปต์...บรรทัดทองคือพื้นที่ของนักศึกษาและวัยเริ่มทำงาน ร้านอาหารที่ไปไม่รอดส่วนใหญ่มักเจอปัญหาตั้งราคาสูงเกินกำลังซื้อเฉลี่ยของกลุ่มเป้าหมาย...คอนเซปต์หรูเกินไปหรือเมนูเข้าไม่ถึง และไม่มีที่จอดรถเพียงพอผู้สันทัดกรณีรายเดิมสรุปไว้สั้นๆง่ายๆก็คือ “ทำเลดี” แต่หากคอนเซปต์ไม่แมตช์ ก็ “เจ๊งเร็ว” อีกทั้งยุคนี้...กล่าวถึงกันมากในเรื่องการตลาดยุคใหม่ ร้านไหนไม่เข้าใจโซเชียลก็ตายในปี 2568 โซเชียลมีเดียคือทุกสิ่ง แต่...ร้านอาหารบางแห่งยังใช้การตลาดแบบเก่า “โฆษณาแค่สวย” ไม่ฟังเสียงลูกค้าบนโซเชียล หรือรับมือกับรีวิวลบไม่เป็น กับขาดแคมเปญสร้างความผูกพันกับลูกค้าผลคือ...แม้เปิดร้านได้ดี แต่ไม่มี “กระแส” และไม่มี “คอมมูนิตี้” ลูกค้าเลยไม่กลับมา ไม่มีฐานแฟนและยอดขายไม่มั่นคง เชื่อมโยงไปถึงแบรนด์เกิดใหม่ที่ไม่มีจุดยืนที่ชัดเจนขายอาหารคล้ายๆกัน เช่น ข้าวหน้าเนื้อ, ชาบู, คาเฟ่ ไม่มีเอกลักษณ์เด่นในเมนู บรรยากาศ หรือบริการพยายามขายๆๆ “ทุกอย่างให้ทุกคน” จนกลายเป็น “ไม่เฉพาะเจาะจงกับใครเลย”...ท่ามกลางตลาดที่มีการแข่งขันสูง “ความธรรมดาจึงเท่ากับความล้มเหลว”...สรุปเป็นบทเรียนสำคัญไปไม่รอด เพราะ “ไม่รู้ว่าใครคือลูกค้า และเราคือใคร”ถึงตรงนี้ “ย่านบรรทัดทอง” อาจไม่ได้แย่และไม่ได้หมดอนาคตในเร็ววันนี้ หากแต่ธุรกิจ (บางร้าน) ที่เปิดในปี 2568 ยังมองไม่ออกว่า “ใครคือลูกค้าที่แท้จริงในย่านนี้?” และ “เราจะให้ สิ่งที่ดีที่สุดอะไรแก่เขาได้?” ถ้าไม่มีคำตอบที่ชัดเจน...ต่อให้ทำเลดีตามกระแส ลงทุนเยอะก็ไปไม่รอดแม้ปัญหา “ค่าเช่า” และ “ยอดขาย” ที่ลดลงจะเป็นความท้าทายสำคัญ อย่าลืมว่าร้านอาหารที่อยู่รอดไม่ใช่ร้านที่สวยที่สุด...แต่คือร้านที่ “เข้าใจคนกิน” มากที่สุด.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม