กระแสความตื่นตัวของผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับเป็นยุคที่ราคาพลังงานทั่วโลกผันผวน ในอดีตราคาน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศไทยเคยทะลุ 40 บาทต่อลิตร ถึงแม้ปัจจุบันจะปรับลดลงมาเฉลี่ยลิตรละ 30-35 บาททำให้ผู้บริโภคเริ่มหันมาพิจารณาการใช้พลังงานทางเลือก และที่สำคัญเป็นพลังงานสะอาดด้วย ขณะที่อุตสาหกรรมรถยนต์มีการพัฒนารถยนต์ เพื่อตอบโจทย์การใช้พลังงานสะอาด ลดมลภาวะ ซึ่งปัจจุบันผู้ใช้รถยนต์จึงมีทางเลือกที่หลากหลายมีทั้งรถยนต์ไฟฟ้า (EV), รถยนต์ HEV, รถยนต์สันดาปที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง และรถใช้ก๊าซธรรมชาติ (Natural Gas for Vehicles : NGV) เป็นต้นการเลือกใช้รถยนต์เป็นไปตาม ความต้องการของผู้บริโภค ที่พิจารณาด้วยความรอบคอบคุ้มค่า ถึงวัตถุประสงค์ของการใช้ รวมถึงประเภทของพลังงานที่ใช้ และความง่ายหรือซับซ้อนในการดูแลรักษา ซึ่งล้วนส่งผลโดยตรงต่อความปลอดภัยในการใช้งานและต้นทุนการดูแลรักษาในระยะยาวสำหรับผู้บริโภคที่เลือกใช้รถยนต์ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับรถยนต์ หรือ NGV เป็นหนึ่งในพลังงานทางเลือกที่ถูกพูดถึงในแง่ความคุ้มค่า ซึ่งเป็นพลังงานทางเลือกที่ทั้งสะอาด ประหยัด และลดมลภาวะทางอากาศ ซึ่งประเทศไทยได้เริ่มใช้มานานกว่า 10 ปีสำหรับหัวใจสำคัญของก๊าซ NGV คือ “ก๊าซมีเทน” (Methane) ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักในก๊าซธรรมชาติ มีคุณสมบัติที่น่าสนใจหลายประการ ให้ พลังงานความร้อนสูง ทำให้สามารถขับเคลื่อนรถยนต์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อเผาไหม้แล้วจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิลทั่วไป ลดการปล่อยคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO), ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) และฝุ่นละออง PM ได้อย่างชัดเจน นอกจากนั้น มีเทน ยังเป็นก๊าซที่เบากว่าอากาศ เมื่อเกิดการรั่วไหลจะลอยขึ้นสู่อากาศและกระจายตัวเร็ว จึงช่วยลดโอกาสเกิดการสะสมจนจุดติดไฟได้แต่เนื่องจากมีความเบามากและไม่สามารถบีบอัดให้กลายเป็นของเหลวที่อุณหภูมิห้องได้เหมือน LPG การอัดแรงดันสูงจึงเป็นวิธีในการกักเก็บก๊าซมีเทนไว้ในถังให้มีปริมาณที่เหมาะสมต่อการขับขี่ การเติมก๊าซ NGV ในแต่ละครั้งจึงต้องใช้แรงดันสูงถึง 200-250 บาร์ เพื่อให้สามารถบรรจุในถังก๊าซให้ได้ปริมาณมากเพียงพอต่อการใช้งาน ดังนั้นปัจจัยด้านความปลอดภัยจึงควรเป็นปัจจัยหลักที่นำมาพิจารณาหากเลือกใช้รถ NGV แรงดัน 200 บาร์ หรือ 3,000 ปอนด์/ตารางนิ้ว หลายคนอาจยังนึกไม่ออกว่าสูงแค่ไหน? ลองนึกตามว่าค่าแรงดันบรรยากาศปกติ (ที่เราอยู่ทุกวัน) = 1 บาร์ แรงดันของก๊าซ LPG อยู่ที่ประมาณ 5-7 บาร์ถัง NGV จึงต้องมีความแข็งแรงสูงมากเพื่อให้รองรับแรงดันมากๆได้ ต้องผลิตจากเหล็กไร้ตะเข็บหรือวัสดุคอมโพสิตพิเศษ และต้องผ่านมาตรฐานความปลอดภัยหลายขั้นตอนเพื่อความปลอดภัยนอกจากถังก๊าซแรงดันสูง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของระบบ NGV แล้ว อุปกรณ์ต่างๆที่เกี่ยวข้องต้องมีคุณสมบัติที่ทนต่อแรงดัน ผ่านมาตรฐานเฉพาะด้านและติดตั้งกับผู้ติดตั้งที่ได้รับการรับรองจากกรมการขนส่งทางบก ไม่ดัดแปลงระบบ NGV เอง ไม่ใช้อุปกรณ์ที่ไม่มีมาตรฐาน หมดอายุ หรือเสื่อมสภาพ และสิ่งที่ละเลยไม่ได้คือ การตรวจสภาพอุปกรณ์ NGV โดยผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการรับรองจากกรมการขนส่งทางบกเป็นประจำทุกปีทั้งนี้ ถังก๊าซมีอายุใช้งานเฉลี่ยประมาณ 15-20 ปี หากหมดอายุแล้วยังใช้งานต่ออาจเกิดการแตกร้าวภายในที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า และเป็นอันตรายเมื่อได้รับแรงดันสูง ส่วนวาล์วและท่อหากรั่วเพียงเล็กน้อย ก็สามารถสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงได้เพราะอุปกรณ์ NGV มีอายุการใช้งานจำกัด และเสื่อมสภาพได้ตามเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถที่มีการใช้งานหนัก อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับระบบ NGV ต้องรับภาระต่อเนื่อง ก็จะมีโอกาสเสื่อมสภาพเร็วกว่าการใช้งานตามปกติ จึงควรนำรถเข้าตรวจสภาพตามรอบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดนอกจากนั้น ผู้ขับขี่รถ NGV ควรหมั่นตรวจสอบสภาพถังและอุปกรณ์ด้วยตัวเองอย่างสม่ำเสมอก่อนใช้งาน ทั้งตรวจดูวันหมดอายุการใช้งานและสภาพภายนอกถัง NGV ว่ามีรอยบุบ รอยรั่ว หรือขึ้นสนิมหรือไม่ ตรวจวาล์วและท่อ หารอยรั่ว รอยร้าว กรอบ แตก และ ดูความยืดหยุ่นของท่อว่าอยู่ในสภาพที่ดีหรือไม่ทั้งนี้ หากพบสิ่งผิดปกติ อย่าละเลยหรือชะล่าใจ เพราะความปลอดภัยของคุณและผู้ร่วมทาง เป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม และหากไม่มั่นใจในสภาพอุปกรณ์ ควรนำรถเข้าตรวจสอบที่ศูนย์ตรวจสภาพรถ NGV ที่ได้รับการรับรองจากกรมการขนส่งทางบก เพื่อให้มั่นใจว่ารถของคุณปลอดภัย พร้อมใช้งานในทุกการเดินทาง.อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่