กฎหมายสมูท-ฮอว์ลีย์ (Smoot-Hawley) มีชื่อเต็มว่า Tariff Act of 1930 เสนอโดยวุฒิสมาชิก รีด สมูท และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร วิลลิส ฮอว์ลีย์ ประกาศใช้เมื่อ 17 มิถุนายน 1930 ข้อใหญ่ใจความของพระราชบัญญัตินี้ก็คือ ให้สหรัฐฯเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมประมาณ 20,000 รายการ สูงถึงร้อยละ 40-60 เพื่อปกป้องเกษตรกรและแรงงานอุตสาหกรรมในสหรัฐฯประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯสมัยนั้น ไม่ว่าแคนาดา อังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนี ต่างตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ การออกกฎหมายฉบับนี้ของสหรัฐฯ ทำให้เกิด “ริแทลลิอะทอรี แทรีฟส์” (Retaliatory Tariffs) ทั่วโลกริแทลลิอะทอรี แทรีฟส์ หมายถึง “ภาษีที่ประเทศหนึ่งใช้เพื่อโต้ตอบการกระทำที่ไม่เป็นธรรมทางการค้าของประเทศอื่น” ประเทศ A ขึ้นภาษีสินค้าจากประเทศ B เพื่อกีดกันการนำเข้า ประเทศ B ก็จะตอบโต้โดยการขึ้นภาษีสินค้าจากประเทศ A ด้วยเช่นกัน ตัวอย่างของริแทลลิอะทอรี แทรีฟส์ ก็เช่น ค.ศ.2018 สหรัฐฯขึ้นภาษีสินค้าจากจีน และจีนตอบโต้ด้วยริแทลลิอะทอรี แทรีฟส์ ต่อสินค้าจากสหรัฐฯผู้คนที่มีความรู้ความเข้าใจในริแทลลิอะทอรี แทรีฟส์เริ่มออกมาประเมินกันแล้วว่า การขึ้นภาษีของทรัมป์มีโอกาสที่จะทำให้สหรัฐฯพัง เว็บไซต์ฮัฟฟิงตันซึ่งเป็นเว็บไซต์ข่าวออนไลน์ที่ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ รางวัลเกียรติยศสูงสุดด้านวารสารศาสตร์ในสหรัฐฯ วิเคราะห์ว่า “ทรัมป์จะไม่ชนะในสงครามภาษี”เทรย์ แมคอาร์เทอร์ นักเศรษฐศาสตร์ที่มีผลงานวิจัยเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจและการเงินวิเคราะห์ว่า “จีนอาจจะไม่ยอมลดมาตรการเพิ่มเติม และจะทำให้ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯยืดเยื้อยาวนาน”สกอตต์ เคนเนดี นักวิชาการชาวอเมริกัน ผู้เชี่ยวชาญนโยบายเศรษฐกิจจีน ความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีน และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับสูง ออกมาฟันธงว่า “สหรัฐฯจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบและความขัดแย้งอาจจะบานปลาย”ญี่ปุ่นและสหภาพยุโรปก็รอดูท่าทีและไม่รีบร่วมเจรจาหรือยอมตามข้อเสนอของสหรัฐฯในทันที การที่ญี่ปุ่นไม่รีบแสดงว่าต้องการรักษาอธิปไตยทางเศรษฐกิจ และจะรอจนกว่าเงื่อนไขต่างๆ จะชัดเจน ประชาชนคนญี่ปุ่นจำนวนมากเห็นด้วยที่รัฐบาลของตนเองมีท่าทีระวังตัว ไม่ตกลงอะไรแบบฉุกละหุกที่ทำให้เสียเปรียบการเปรียบเทียบภาษีของทรัมป์ (ค.ศ.2025) กับกฎหมายสมูท-ฮอว์ลีย์ (ค.ศ.1930) มีหลายคนเตือนอันตรายจากนโยบายปกป้องตนเองทางเศรษฐกิจที่อาจสร้างสงครามการค้าที่ย้อนกลับมาทำลายเศรษฐกิจทั้งโลก อย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในยุคสงครามโลกครั้งที่สองกฎหมายสมูท-ฮอว์ลีย์เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ของสหรัฐฯ ทำให้จีดีพีโลกหดตัวกว่าร้อยละ 15 เวลาผ่านไป 95 ปี ในยุคของทรัมป์ จะเกิดสงครามการค้าซ้ำรอยกับอดีต การที่จะไม่ให้ทรัมป์เสียหน้าและรักษาเกียรติภูมิของสหรัฐฯ ที่เกิดจากความบุ่มบ่ามของตัวเองก็คือ ทรัมป์ควรใช้ภาษีเป็น “คันโยก” ไม่ใช่เป็น “ค้อน” ที่ใช้ไล่ทุบประเทศอื่นอย่างเดียว ทรัมป์ควรใช้ภาษีเป็นเครื่องมือเปิดโต๊ะเจรจา ไม่ใช่ปิดประตูการค้า ทรัมป์ต้องกำหนดเวลาที่ชัดเจนในการใช้ภาษีเฉพาะกิจ เช่น 6 เดือน หรือ 1 ปี แล้วก็ “แนบเงื่อนไขสำหรับการยกเลิก”เมื่อมีไอเดียแว้บเข้ามาในสมองอย่างฉับพลันทันที ทรัมป์จะพิมพ์ลงในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย Truth Social ที่มีรายงานว่า มีผู้ใช้งานประจำหรือ active users มากถึง 6.3 ล้าน และมีจำนวนผู้ติดตามหรือ followers มากถึง 6.59 ล้านทรัมป์ขู่ประเทศโน้นชาตินี้ผ่านโซเชียลมีเดีย สิ่งที่แกโพสต์ขู่หรือด่าไปแล้วเอากลับคืนมาไม่ได้ ทรัมป์ไม่ใช่ไอ้ปื๊ดลูกเจ้น้องก้นซอยสองที่จะพูดหรือจะเขียนอะไรก็ได้ สิ่งที่ทรัมป์ต้องแก้ไขก่อนที่เกียรติภูมิของสหรัฐฯจะเละไปกว่านี้ก็คือ ทรัมป์ต้องใช้บุคคลระดับสูงจากกระทรวงการคลังและการต่างประเทศเป็นผู้นำในการเจรจาทรัมป์ควรหันมาสร้าง “พันธมิตรทางเศรษฐกิจ” แทนที่จะสร้างศัตรู ที่สำคัญก็คือ ต้องหยุดการเปิดศึกหลายด้าน ตอนนี้ศัตรูของทรัมป์มั่วทั่วไปทั้งโลก มีทั้งจีน ยุโรป เม็กซิโก ฯลฯ หากทรัมป์ อยากจะกดดันจีนก็ควรจะสร้าง Economic Freedom Bloc หรือกลุ่มพันธมิตรเศรษฐกิจโลกเสรีกับประเทศประชาธิปไตยที่เชื่อมั่นในตลาดเสรีไปกดดัน ไม่ใช่ลุยเดี่ยวแบบผู้ชราอายุ 79 ปี.นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัยsonglok1997@gmail.comคลิกอ่านคอลัมน์ “เปิดฟ้าส่องโลก” เพิ่มเติม