การประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 6 พ.ค.ที่ผ่านมา นอกจากข่าวดีเรื่องที่ กพช.มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณากำหนดอัตราค่าไฟฟ้างวดเดือน ก.ย.–ธ.ค. ในอัตราไม่เกิน 3.99 บาทต่อหน่วย ขณะเดียวกันก็มีประเด็นที่อาจส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อภาคอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจประเทศ นั่นคือกรณีที่คุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.พลังงาน เตรียมรื้อโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติ โดยอ้างว่าเป็นการกำหนดต้นทุนก๊าซธรรมชาติให้เหมาะสมกับการใช้งานในแต่ละภาคส่วน ดังนี้ก๊าซที่เข้าและออกจากโรงแยกก๊าซ ให้ใช้ต้นทุนราคาก๊าซจากอ่าวไทย (Gulf Gas)ก๊าซที่นำไปใช้ในการผลิต LPG สำหรับใช้เป็นเชื้อเพลิงให้ใช้ต้นทุนราคาก๊าซจากอ่าวไทยก๊าซสำหรับภาคไฟฟ้า และ NGV ให้ใช้ราคา Pool Gas ซึ่งเป็นราคาเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของราคาและปริมาณของก๊าซ โดยเรียงลำดับความสำคัญจากแหล่งก๊าซในประเทศ ก๊าซจากเมียนมา และ LNG ตามลำดับก๊าซสำหรับภาคอุตสาหกรรมให้ใช้ต้นทุนจากราคา LNGฟังเผินๆเหมือนเป็นเรื่องดี ทำให้ลดต้นทุนเชื้อเพลิงสำหรับการผลิตไฟฟ้า โดยยกเลิกระบบ Single Pool Gas ที่ปัจจุบันคิดเฉลี่ยเป็นราคาเดียวกันในทุกภาคส่วน แล้วโยนให้ภาคอุตสาหกรรม (ที่มีสัดส่วนการใช้ก๊าซธรรมชาติเพียง 15% ของทั้งประเทศ) รับภาระต้นทุน LNG นำเข้า ซึ่งมีราคาสูงที่สุดไปแทนแต่ความจริงการรื้อโครงสร้างแบบนี้เป็นเพียงการ แก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ไม่รู้ว่ารัฐมนตรีที่เสนอแนวทางนี้ได้รับฟังเสียงสะท้อนจากฝ่ายต่างๆรอบด้านหรือไม่ หรือคิดแค่ทำประชานิยมหาเสียง ให้ได้ชื่อว่ากดค่าไฟถูกลง ทั้งๆที่ มีการประเมินกันว่าจะลดค่าไฟได้แค่ 0.15 บาท/หน่วยเท่านั้น เทียบไม่ได้เลยกับมูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจหลายหมื่นล้านบาทที่จะตามมาคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย เคยยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี คัดค้านการรื้อโครงสร้าง Pool Gas เพราะเห็นว่าไม่เป็นธรรมต่อภาคอุตสาหกรรม พร้อมแจกแจงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นให้ทราบกกร.ระบุว่า การโยนภาระมาให้ภาคอุตสาหกรรมจะทำให้ ต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติของภาคอุตสาหกรรมปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 60% ผู้ประกอบการจะมีต้นทุนการผลิตสูงถึงประมาณ 30,000 ล้านบาทต่อปี (ประเมินจากข้อมูลประมาณการ ณ เดือน ก.พ.68) ส่งผลต่อเนื่องกับการจ้างงานกว่า 1.9 ล้านคน ค่าครองชีพจะสูงขึ้นจากราคาสินค้าที่ปรับขึ้นตามต้นทุน มีความเสี่ยงทำให้ปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนสูงขึ้นนอกจากนี้ การขยายโครงการลงทุนจะชะลอตัว ความน่าสนใจจากนักลงทุนต่างประเทศจะลดลง เบนเข็มไปลงทุนในประเทศอื่นแทน ส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขัน และการขยายตัวทางเศรษฐกิจคำทักท้วงของ กกร.เป็นเรื่องน่าคิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เศรษฐกิจไทยถดถอยลงทุกวัน ทั้งยังลูกผีลูกคนไม่รู้ว่าจะเจรจาต่อรองกำแพงภาษีกับสหรัฐฯได้ผลบวกหรือลบแค่ไหน แถมสินค้าจีนราคาถูกยังทะลักเข้ามาซ้ำเติมเอสเอ็มอีไทยอีก ดังนั้นการไปเพิ่มต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติจะยิ่งทำให้ภาคอุตสาหกรรมสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในหนังสือของ กกร.ยังเสนอแนะให้รัฐบาลศึกษาความเป็นไปได้ในการปรับโครงสร้างราคาพลังงาน เพื่อลดผลกระทบของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนอย่างสมดุลตลอดห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงพิจารณาแนวทางการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุของโครงสร้างพลังงานอย่างเหมาะสมและยั่งยืนผมอยากฝากถึงนายกฯซึ่งเป็นประธาน กพช.ด้วย ช่วยพิจารณาทบทวนเรื่องนี้อีกครั้ง ลองฟังความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม อย่าเพิ่งรีบเชื่อรัฐมนตรีที่ไม่มีความรู้เศรษฐกิจ ไม่เข้าใจโครงสร้างพลังงาน เพราะหากเดินผิดทางจะเสียหายเกินเยียวยา.ลมกรดคลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม