ก่อนเปิดประชุมสภาเพื่อพิจารณางบประมาณปี 2569 รัฐบาลน่าจะมีการประชุมปรึกษาหารือทั้งระดับที่เป็นทางการ และระดับ “ดีลลับ” โดยเฉพาะแกนนำพรรคภูมิใจไทยและเพื่อไทยพูดง่ายๆตรงเป้าก็คือ ทักษิณ ชินวัตร-อนุทิน ชาญวีรกูล-เนวิน ชิดชอบ อย่างที่เคยปฏิบัติกันมาทุกครั้งเพราะทั้ง 2 พรรคต่างก็มีปัญหาไม่ต่างกัน แต่เรื่องเดียวกันเว้นแต่ไม่มีนัดหมายเพราะคุยกันไม่ได้แล้วก็จะเป็นภาพสะท้อนภาพการเมืองที่เกิดขึ้นจริงงบประมาณในแต่ละปีนั้นมีความสำคัญมากไม่ว่านักการเมืองคนไหน เพราะมันหมายถึง “กระสุน” ที่จะต้องนำไปพัฒนาประเทศและกลไกรัฐทั้งระบบนักการเมืองนั้นรู้ดีว่าควรจะต้องทำอย่างไรเพื่อให้งบผ่านสภาให้เร็วที่สุด เพราะเป็นหน้าที่ของพวกเขาอย่างหนึ่งรัฐบาลนั้นมีความจำเป็นสูงสุด เนื่องจากเพราะเป็นเครื่องจักรที่จะนำไปขับเคลื่อนประเทศ เพราะถ้าไม่มีงบประมาณก็ทำอะไรไม่ได้ยิ่งกว่า “เป็ดง่อย” หลายเท่า!ที่ผ่านมางบประมาณจะผ่านสภาค่อนข้างง่าย หากมีการจัดการให้เข้ารูปเข้ารอย เพราะทุกฝ่ายมีความจำเป็นต้องใช้สส.ทั้งฝ่ายรัฐบาล-ฝ่ายค้าน ต่างก็ยกมือให้ไม่มีปัญหาในทางกลับกันหากงบประมาณไม่ผ่านสภาตั้งแต่วาระ 1 ถือว่ารัฐบาลชุดนี้จบ เพราะเป็นเรื่องการเงินหากไม่ผ่านสภาไม่ “ลาออก” ก็ต้อง “ยุบสภา” มี 2 ทางนี้เท่านั้นดังนั้น เพื่อความปลอดภัยของนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นแกนนำรัฐบาลและมีอำนาจสูงสุดจึงต้องมีความมั่นใจ“ผ่านแน่” จึงให้มีการพิจารณา...ไม่มีนายกรัฐมนตรีคนไหนที่จะเสี่ยง หากไม่ได้รับคำยืนยันจาก สส.พรรคแกนนำ และพรรคร่วมรัฐบาลว่าจะผ่านให้เพราะในท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างพรรคแกนนำและพรรคร่วมรัฐบาล บางพรรคที่ขัดแย้งกันหลายเรื่องหลายประเด็นจึงจำเป็นต้องถามกันให้เรียบร้อยหรือเคลียร์ให้ชัดเจนแม้จะมีเสียงยืนยันว่าไม่มีปัญหา ทุกพรรคพร้อมที่จะยกมือสนับสนุนนั้นเป็นสถานการณ์ปกติที่เชื่อใจกันแต่ในสถานการณ์ที่ชิงความได้เปรียบอย่างนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้อีกทั้งปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนั้นสามารถนำประเด็นนี้ขึ้นมาต่อรองได้เช่นกัน โดยเฉพาะเพื่อไทยที่ยังไม่ต้องการยุบสภา ลาออก หรือเลือกตั้งใหม่!พรรคร่วมรัฐบาลแม้จะยังไม่พร้อมเช่นกัน แต่มีอำนาจต่อรองสูงกว่า สามารถที่จะนำประเด็นนี้ขึ้นมาเป็นหัวข้อเจรจาได้วันนี้การเมืองประเทศไทยค่อนข้างจะเละเทะด้วยปัญหาที่นักการเมืองไม่สุจริตกระทำขึ้นอย่างเรื่อง “งูเห่า” ที่ได้สร้างความเสียหายต่อระบบที่น่าสังเวชก็คือพรรคการเมืองบางพรรคดำเนินการด้วยวิธีใช้ “เงิน” เข้าแลก แต่อย่างว่า “อุดมการณ์” เดียวกันทั้งๆที่คนทั้งเมืองรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไรเพราะจู่ๆ สส.จากพรรคหนึ่งไปอยู่อีกพรรคหนึ่งนั้นมันต้องมีแรงจูงใจมากพอสมควรแม้ไม่พอใจพรรคอยู่บ้าง แต่มีสิ่งแลกเปลี่ยนที่ดีกว่าก็เลยได้ประโยชน์สองต่อ!“สายล่อฟ้า”คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม