ทั่วโลกกำลังจับตาอุณหภูมิร้อนทางภูมิรัฐศาสตร์ ­­­­­­­­­“ความขัดแย้งระหว่างอินเดีย–ปากีสถาน” มหาอำนาจนิวเคลียร์แห่งเอเชียใต้ที่เผชิญหน้าสู้รบปะทะกันตามแนวพรมแดนของ 2 ประเทศอย่างต่อเนื่องหลังกองทัพอินเดียโจมตีปากีสถาน และแคว้นแคชเมียร์ที่อยู่ในการปกครองปากีสถาน โดยอ้างเป็นจุดวางแผน ผู้ก่อการร้ายโจมตีนักท่องเที่ยวอินเดียในแคชเมียร์เสียชีวิต 26 คน ที่เชื่อว่าได้รับการสนับสนุนจากปากีสถานกลายเป็นชนวนความขัดแย้งที่ “อาจจะลุกลามเป็นสงครามขนาดใหญ่” ไม่เพียงแต่กระทบต่อภูมิภาคเอเชียใต้ แต่จะเป็นวิกฤติระดับภูมิภาคนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจคาดเดา “ไทย” เป็นส่วนหนึ่งของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่ใกล้เคียงกับเอเชียใต้ก็อาจได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายด้านนี้ทำให้ต้องมาวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับไทยในอนาคตจากความขัดแย้งนั้น ผศ.ดร.วิชิต สุรดินทร์กูร อาจารย์หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต การบริหารการพัฒนา บัณฑิตวิทยาลัย มรภ.สวนสุนันทา มองว่าสงครามระหว่างอินเดีย-ปากีสถานปัจจุบันนับเป็นเหตุการณ์สำคัญในภูมิภาคเอเชียใต้ “ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อ 2 ประเทศเท่านั้น” หากแต่ยังมีผลลึกซึ้งต่อเสถียรภาพ และความมั่นคงในระดับโลกเพราะอินเดียและปากีสถานต่างถือครองอาวุธนิวเคลียร์ ถ้าความขัดแย้งทวีความรุนแรงอาจนำไปสู่ความเสี่ยงของสงครามระดับโลก ยิ่งกว่านั้น “ความขัดแย้งอินเดีย–ปากีสถาน” อาจจะเป็นภัยคุกคามสำคัญในด้านการขยายตัวของกลุ่มก่อการร้ายเชื่อมโยงกับประเทศเกิดความขัดแย้งในกลุ่มอุดมการณ์คล้ายคลึงกับอย่างตอลิบาน หรืออัลกออิดะห์ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงในการก่อการร้ายส่งผลต่อความปลอดภัยประชาชน และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมากมายตามมาแล้วด้วยสงครามครั้งนี้ “ประชาชนบางส่วน” ก็อาจเลือกหลีกหนีความตึงเครียดในประเทศออกมาหาประเทศที่เสถียรภาพมากกว่า “ประเทศไทย” จึงเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับคนอินเดียเข้ามาท่องเที่ยวที่อาจไม่ได้เป็นแค่การพักผ่อนหย่อนใจแต่เป็นการหนีสถานการณ์ไม่มั่นคงจากสงครามที่กระทบต่อชีวิตของประชาชนด้วยเหตุนี้ไทยมีโอกาสจะเห็นนักท่องเที่ยวอินเดียเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในแหล่งท่องเที่ยวหลัก เช่น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต ที่ชาวอินเดียมักมาเยือนบ่อยครั้ง เพื่อหาความผ่อนคลายจากภาวะยากลำบากในบ้านเกิดทว่าในทางกลับกัน “ปากีสถาน” ก็ต้องเผชิญความยากลำบากทางเศรษฐกิจเช่นกัน “ก่อเกิดอัตราว่างงาน” ต้องออกมาหางานทำในต่างประเทศ “ไทย” ซึ่งมีความต้องการแรงงานในหลายภาคส่วนก็เป็นจุดหมายที่พวกเขามองหา โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมการเกษตร การก่อสร้าง และการผลิต เช่นนี้การอพยพปากีสถานอาจมีผลต่อ “สังคมไทย” หากรัฐบาลไม่อาจจัดการได้อย่างเหมาะสมก็จะเกิดปัญหาความเครียดในสังคมไทย และแรงงานต่างชาติต้องเผชิญการอยู่อาศัย สวัสดิการและทำงานยากลำบากขึ้นดังนั้นการให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่สาธารณะจะช่วยสร้างความเข้าใจลดความตึงเครียดในสังคมสร้างความสงบสุขสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีสันติภาพ “รัฐบาล” ต้องเตรียมแผนรับมือผู้ลี้ภัยที่จะหลั่งไหลเข้ามาเสริมความเข้มแข็งตามพรมแดน “ควบคุมการลักลอบเข้าเมือง” เพิ่มความร่วมมือระหว่างประเทศป้องกันการก่อการร้ายตอกย้ำว่า “ไทยมีความสัมพันธ์ทางการค้ากับทั้ง 2 ประเทศ” สำหรับการเกิดสงครามอินเดีย-ปากีสถานย่อมส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยหากเกิดการหยุดชะงักห่วงโซ่อุปทานจากความขัดแย้งในภูมิภาคเอเชียใต้ก็จะกระทบต่อการขนส่งสินค้า และการผลิต “ขาดแคลนสินค้าวัตถุดิบจำเป็น” ในการผลิตส่งผลต่อต้นทุนที่สูงมากขึ้นไม่เท่านั้นอาจกระทบต่อ “การลงทุนจากความไม่แน่นอนในภูมิภาค” ทำให้นักลงทุนต่างชาติกังวลจนตัดสินใจถอนทุนออกจากตลาดไทยส่งผลให้การลงทุนลดลงกระทบเศรษฐกิจเผชิญปัญหาขาดดุลการเงิน...ชะลอการพัฒนาหลายส่วน โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมจะขาดทุนและความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจได้รับผลกระทบโดยตรงเช่นนี้การบริหารจัดการทรัพยากรเป็นสิ่งสำคัญสำหรับประเทศไทย “ภาครัฐ” ต้องมีการวางแผนดำเนินการให้ทรัพยากรที่มีอยู่ได้รับการใช้ประโยชน์สูงสุดอย่างเช่นการสำรองสินค้าจำเป็น และการกระจายสินค้าให้ทั่วถึง จะช่วยลดผลกระทบการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน และช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระยะยาว แนวทางรับมือภาวะความไม่แน่นอน “สนับสนุนภาคธุรกิจกระตุ้นเศรษฐกิจ” จะช่วยสร้างความมั่นใจให้เอกชน เช่น การลงทุนทางเทคโนโลยีดิจิทัล พัฒนาการท่องเที่ยวก็เป็นวิธีการกระตุ้นการลงทุนต่างประเทศได้นอกจากนี้การสร้างกลยุทธ์เศรษฐกิจที่ยืดหยุ่น และการบริหารทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพก็จะช่วยให้ไทยรับมือผลกระทบจากสงครามอินเดีย-ปากีสถานแถมจะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจระยะยาวด้วยผลกระทบถัดมาคือ “การทูตและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ” ด้วยการสู้รบระหว่างอินเดีย-ปากีสถานไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อ “ภูมิภาคเอเชียใต้” แต่สะเทือนถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั่วโลก “ไทย” ในฐานะสมาชิกประชาคมระหว่างประเทศสามารถมีบทบาทสำคัญในการช่วยบรรเทาความตึงเครียดที่เกิดขึ้นได้ด้วยการใช้ท่าทีที่ “ความเป็นกลางในการทูต” ซึ่งไทยสามารถมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการเจรจาสนับสนุนการหาทางออกอย่างสันติได้ เพราะการทูตของไทยเป็นเครื่องมือสำคัญในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทั้งอินเดีย และปากีสถานที่จะช่วยรักษาความสงบในภูมิภาคและลดความเสี่ยงการลุกลามของสงครามไปสู่ระดับโลกดังนั้นในฐานะที่เป็นสมาชิกของอาเซียนและสหประชาชาติ “ไทย” สามารถใช้บทบาทเหล่านี้ในการมีส่วนร่วมในกระบวนการเจรจา และสันติภาพ รวมถึงการร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศจะช่วยเสริมสร้างบทบาทในการเจรจาเพื่อหาทางออกที่ยั่งยืนจากความขัดแย้งระหว่างอินเดียและปากีสถานครั้งนี้สุดท้ายนี้การรักษาความสัมพันธ์ที่ดี “เป็นกลาง” ในช่วงที่เกิดความตึงเครียด เป็นกลยุทธ์ที่ประเทศไทยสามารถใช้เพื่อเพิ่มโอกาสในการเจรจาในอนาคต “การทูตที่เป็นกลางและสร้างสรรค์” จะช่วยเสริมภาพลักษณ์ในเวทีระหว่างประเทศ สามารถรักษาบทบาทการส่งเสริมสันติภาพ และความมั่นคงในภูมิภาคแห่งนี้อีกด้วยนี่เป็นสถานการณ์ “ความขัดแย้งระหว่างอินเดีย–ปากีสถาน” ถือเป็นปัจจัยที่จะส่งผลกระทบโดยตรงและโดยอ้อมต่อประเทศไทย และภูมิภาคโดยรวมทั้งด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม ซึ่งจำเป็นต้องมีการประเมินเตรียมการรับมืออย่างรอบด้านจะช่วยให้พร้อมรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต­­­­­­­­­.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม