ผมอ่าน เรื่อง “กินนร” มาจากผู้รู้ในหนังสือหลายเล่ม...แต่เมื่อเจอ “กินนร” ในหนังสืออักษรศัพท์พินิจฉัย (สถาพรบุ๊คส์พิมพ์ พ.ศ.2567) ผมได้ความรู้สึกใหม่ “กินนร” ตนนี้ แปลก แตกต่างกว่าตนอื่นๆอาจารย์ ปรัชญา ปานเกตุ เริ่มต้นว่า “กินนร” อ่านว่า/กิน-นร/เป็นคนครึ่งนก มีทั้งเพศผู้เพศเมียตามรูปศัพท์ “กินนร” มาจากคำภาษาบาลีว่า “กึ”/กิง/ แปลว่า อะไร กับ “นร”/นะ-ระ/ แปลว่า คน“กึนร”/กิง–นะ–ระ/ หรือ “กินนร”/กิน–นร จึงแปล “คนอะไรกัน” หรือ “คนประเภทไหนกัน”คติทางวรรณคดีไทย ว่ามี 2 พวก พวกหนึ่ง มีกายท่อนบนเป็นคน ท่อนล่างเป็นนก มีปีกมีหาง เช่นที่กล่าวถึงในไตรภูมิกถา ดังตัวอย่าง “แลพราหมณ์ผู้นั้น จึงพบกินนรตัวหนึ่ง ขื่อแห่งกินนรนั้น มิปรากฏเลย (ไตรภูมิพระร่วง)อีกพวกหนึ่ง มีรูปเป็นคนปกติ เมื่อจะไปไหนๆ จึงเอาปีกและหางมาสวม เช่นนางมโนห์ราที่น่าสนใจ คือคติทางสันสกฤต “กินนร-กินรี” มีตัวเป็นคน และมีหัวเป็นม้าการแสดงของชาวไทใหญ่ ในงานปอยออกหว่า (บุญออกพรรษา) หรือ “ฟ้อนกิงกะหล่า” สันนิษฐานว่า “กิงกะหล่า” หรือ “กิงกะหร่า” เป็นคำเดียวกับ “กินนร”อนึ่ง “กินนร” เป็นคำเรียกรวมทั้งเพศผู้เพศเมียแต่ถ้าต้องการแยกเพศ เพศผู้เรียก “กินนร” ส่วนเพศเมีย อาจเรียกว่า “นางกินนร” “กินรี” หรือ “กินริน” ก็มีเสาไฟที่ป่ารกร้าง ข้าง อบต.ราชาเทวะ สมุทรปราการ ทำแต่รูปกินรี ที่ทางเข้าพระพุทธบาท สระบุรี ทำเป็นรูปกินนรล้วนๆ ส่วนที่ถนนราชดำเนินกลาง กรุงเทพฯ ทำเป็นรูปกินนร สลับ กินรีสุดท้าย “ อะไร” ใช้แสดงคำถาม “คนอะไร” หมายถึงคนแบบใด คนประเภทไหน ดังประโยคบาลีนี้“อโห วต อัจฺฉริโย โย ปัพพาชิยมาโนปิ กึ นุ โข มยา จินติตํ อญฺตรํ จินตยสิ ฯ”แปลโดยอรรถได้ว่า “โอหนอ ผู้ที่ถูกขับไล่อยู่ ก็ไม่หลีกไป น่าอัศจรรย์จริง ท่านคิดถึงใครสักคน ที่เราคิดถึงไหมหนอฯ”ใครหนอ?งานเขียนเรื่อง “กินนร” อาจารย์ปรัชญา ปานเกตุ บันทึกไว้ตอนท้าย เผยแพร่ (ทางสื่อโซเชียล) เมื่อวันเสาร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ.2566 จบแค่นี้ผมตั้งใจคัดลอกมาบอกต่อวันนี้ นึกไม่ออก อาจารย์ท่านตั้งใจ ปล่อยมุกทิ้งท้าย“ใครหนอ? ท่านหมายถึงใครแต่เมื่อเอามาอ่านในวันนี้ ไม่ว่าในเวลานั้น อาจารย์ปรัชญา ตั้งใจเขียนถึงใคร ผมก็ขอคิดต่อเอาเอง ว่าคงหมายถึง ใครสักคน หรือ? เอ้อ! สองคน ที่มีผู้คนไม่น้อยทีเดียว ที่เขาบ่นๆว่า เบื่อกันหนักหนาคนจำนวนไม่น้อย พวกแรก คือเจ้าเก่า ที่ผูกสมัครไม่รักไม่ชอบกันมาเนิ่นนานเคยก่อม็อบผลักไสไล่ส่งกันจนประวัติศาสตร์ต้องบันทึกว่า ยาวนานถึงครึ่งปี แล้วประวัติศาสตร์ก็ต้องบันทึกต่อ ทหารเขาทนไม่ไหว ประกาศ ต้องขออนุญาตยึดอำนาจ แล้วเชิญนักการเมืองไปเข้าค่าย ปลีกวิเวกชั่วคราวพวกที่สอง จำนวนน้อยมาก แต่แม้มีไม่กี่คน ในพรรคการเมือง ที่มีพลังทั้งเปิดเผยทั้งซ่อนเร้น...จะป่วน หรือจะเขย่ารัฐบาลให้หวั่นไหวได้ง่ายๆ ถึงขนาดต้องเตรียมหาพรรคสำรองในกรณีฉุกเฉินกันแล้วแล้วก็ถึง พวกที่สาม...พวกนี้ กี่ครั้งๆปากก็บอกเสียงดังไม่ๆๆ แต่ถึงเวลาก็มีข้ออ้าง ที่ชาวบ้านทนฟังได้ ยึดอำนาจไปทุกทีเป็นอันว่า ใครหนอ? มีความสำคัญกับคนสามพวกที่ผมว่ามาก และมากส่วนชาวบ้านตาดำๆที่ผจญเวรกรรมกับข้าวยากหมากแพง แม้จะรู้กันว่าหมายถึงส่วนใหญ่ในประเทศ จะร้อนจะหนาวจะท้องกิ่วหิวแสบท้องแค่ไหน อย่างไร ถึงจะมีปากเสียงบอกใคร? ก็คงไม่มีใครได้ยิน.กิเลน ประลองเชิงคลิกอ่านคอลัมน์ “ชักธงรบ” เพิ่มเติม