โรคโควิด-19 กลับมาพุ่งหลังสิ้นสุดเดือนเมษายน โดยยอดติดเชื้อ รายใหม่ช่วงปลายเดือน เม.ย.ต่อต้น พ.ค.ทะยานไป 13,266 ราย ตาย 2 ราย แต่ช่วง 4-8 พ.ค. ผู้ติดเชื้อ รายใหม่ลดลงเกือบครึ่งอยู่ที่ 6,480 ราย ตาย 1 ราย “กทม.” นำโด่ง ตามด้วย “ชลบุรี” ส่วนใหญ่ อายุ 30-39 ปี ขณะที่โรคไข้หวัดใหญ่ยังแรง สัปดาห์ส่งท้ายเดือน เม.ย.ถึงปัจจุบัน ทะยานทะลุ 1.1 หมื่นราย แต่ไม่มีผู้เสียชีวิต ด้าน “หมอธีระ” ชี้คนป่วยจากโควิด-19 สูงกว่าไข้หวัดใหญ่ถึง 2 เท่า ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มวัยทำงาน แนะหากป่วยตอนนี้มีโอกาสเป็นโควิด-19 สูงกว่าไข้หวัดใหญ่ ขณะที่ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล เผยเชื้อโควิดสายพันธุ์ LP.8.1 มาแรงแซง XEC ซึ่งเป็นสายพันธุ์ลูกผสม แต่ยังไม่ก่อความรุนแรงเมื่อเทียบกับสายพันธุ์โอมิครอนสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กลับมาปะทุให้คนไทยได้ผวาอีกครั้ง หลังสิ้นสุดเดือนเมษายนที่มีช่วงหยุดยาว และการเล่นสาดน้ำในเทศกาลสงกรานต์ โดยเมื่อวันที่ 8 พ.ค. เว็บไซต์กรมควบคุมโรค รายงานสถานการณ์โรคติดต่อทางเดินหายใจที่สำคัญ ได้แก่ โรคโควิด-19 และโรคไข้หวัดใหญ่ โดยยอดผู้ป่วยโรคโควิด-19 รายงานสัปดาห์ที่ 18 ของปีนี้ คือระหว่างวันที่ 27 เม.ย.-3 พ.ค. มีผู้ป่วยรายใหม่ 13,266 ราย เป็นผู้ป่วยนอก 11,954 ราย ผู้ป่วยนอนโรงพยาบาล 1,312 ราย ผู้เสียชีวิต 2 ราย โดยกรุงเทพมหานครมีผู้ป่วยสูงสุด 4,073 ราย รองลงมาคือ จ.ชลบุรี 1,133 ราย กลุ่มอายุผู้ป่วยสูงสุดคือ 30-39 ปี จำนวน 2,926 ราย รองลงมาคือ กลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 2,395 ราย ส่วนกลุ่มอายุ 0-4 ปี จำนวน 999 รายส่วนสัปดาห์ที่ 19 ตั้งแต่วันที่ 4-8 พ.ค. มีผู้ป่วยรายใหม่ 6,480 ราย เป็นผู้ป่วยนอก 5,914 ราย ผู้ป่วยนอนโรงพยาบาล 566 ราย ผู้เสียชีวิต 1 ราย กรุงเทพมหานคร มีผู้ป่วยสูงสุด 1,294 ราย รองลงมาคือ จ.ชลบุรี 569 ราย กลุ่มอายุผู้ป่วยสูงสุดคือ 30-39 ปี จำนวน 1,419 ราย รองลงมาคือกลุ่มอายุ 20-29 ปี จำนวน 1,278 ราย กลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 1,046 ราย ส่วนกลุ่มอายุ 0-4 ปี จำนวน 522 รายสำหรับผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ ข้อมูลสัปดาห์ที่ 18 ของปีนี้ วันที่ 27 เม.ย.-3 พ.ค. มีผู้ป่วยรายใหม่ 9,180 ราย เป็นผู้ป่วยนอก 7,848 ราย ผู้ป่วยนอนโรงพยาบาล 1,332 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต กรุงเทพมหานคร พบผู้ป่วยสูงสุด 1,159 ราย รองลงมาคือ จ.ชลบุรี 674 ราย กลุ่มอายุผู้ป่วยสูงสุดคือ 30-39 ปี จำนวน 1,509 ราย รองลงมาคือกลุ่มอายุ 20-29 ปี จำนวน 1,450 ราย กลุ่มอายุ 0-4 ปี จำนวน 1,277 ราย กลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 1,114 รายส่วนสัปดาห์ที่ 19 ตั้งแต่วันที่ 4-8 พ.ค. มีผู้ป่วยรายใหม่ 2,786 ราย เป็นผู้ป่วยนอก 2,460 ราย ผู้ป่วยนอนโรงพยาบาล 326 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต จ.ชลบุรี มีผู้ป่วยสูงสุด 225 ราย ตามด้วย กรุงเทพมหานคร 193 ราย กลุ่มอายุผู้ป่วยสูงสุดคือ 30-39 ปี จำนวน 450 ราย รองลงมาคือกลุ่มอายุ 20-29 ปี จำนวน 432 ราย กลุ่มอายุ 0-4 ปี จำนวน 419 ราย กลุ่มอายุ 40-49 ปี จำนวน 338 ราย กลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 335 ราย ตามลำดับรศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ อาจารย์คณะแพทย ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กวิเคราะห์ถึงสถานการณ์ของโรคว่าข้อมูลสัปดาห์ที่ 19 ตั้งแต่วันที่ 4 พ.ค. จนถึงปัจจุบัน คนป่วยจากโควิด-19 สูงกว่าไข้หวัดใหญ่ถึง 2 เท่า เสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย หากใครมีอาการป่วยตอนนี้อัตราเป็นโควิด-19/ ไข้หวัดใหญ่ เท่ากับ 2:1 หรือราวร้อยละ 67 กลุ่มที่เป็นโควิด-19 มีเด็กเล็ก 0-4 ปี ในสัดส่วนราวร้อยละ 5 ของจำนวนเคสที่รายงานทั้งหมด ในขณะที่กลุ่มที่เป็นไข้หวัดใหญ่ เด็กเล็ก 0-4 ปี มีราวร้อยละ 13 ทั้งนี้ กลุ่มวัยทำงานถือเป็นกลุ่มผู้ป่วยที่มากที่สุดในทั้งสองโรค ด้วยทิศทางนี้พอประเมินกันได้เองว่า หากป่วยตอนนี้มีโอกาสเป็นโควิด-19 สูงกว่าไข้หวัดใหญ่พอสมควรขณะที่ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล โพสต์เฟซบุ๊กถึงการติดตามสายพันธุ์ของโควิด-19 โดยภาพรวมสรุปว่า การติดตามวิวัฒนาการของ SARS-CoV-2 ยังคงมีความสำคัญอย่างยิ่ง สายพันธุ์ LP.8.1 ซึ่งสืบเชื้อสายมาจาก JN.1 ผ่าน KP.1.1.3 ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการแพร่เชื้อที่เพิ่มขึ้นและการหลบหลีกภูมิคุ้มกันได้ดี กลายเป็นสายพันธุ์ที่แพร่หลายในหลายภูมิภาคในช่วงต้นปี 2025 ในขณะที่ XEC ซึ่งเป็นสายพันธุ์ลูกผสม เคยมีสัดส่วนที่สำคัญ แต่เริ่มมีแนวโน้มลดลงในบางพื้นที่เมื่อเผชิญกับการแข่งขันจาก LP.8.1 ทั้งสองสายพันธุ์นี้ยังไม่พบว่าก่อให้เกิดความรุนแรงของโรคเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับสายพันธุ์ โอมิครอนอื่นๆ และวัคซีนปัจจุบันยังคงคาดว่าจะมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรครุนแรงการอุบัติขึ้นของสายพันธุ์ใหม่ๆ เช่น LP.8.1 และ XEC เป็นเครื่องเตือนใจว่า SARS-CoV-2 ยังคงปรับตัวอย่างต่อเนื่อง การเฝ้าระวังทางพันธุกรรมอย่างเข้มแข็ง การประเมินความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ และการปรับปรุงมาตรการทางสาธารณสุข รวมถึงวัคซีนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อลดผลกระทบของการระบาดในอนาคต แม้ว่าปัจจุบันองค์การอนามัยโลกจะประเมินความเสี่ยงโดยรวมจากสายพันธุ์อย่าง LP.8.1 ว่าอยู่ในระดับต่ำ แต่ความตื่นตัวและการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องยังคงเป็นหัวใจสำคัญอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่