วันที่ 30 เมษายนทุกปี ถือเป็น “วันยุติการลงโทษทางร่างกายสากล” ซึ่งองค์กรผู้เชี่ยวชาญ ผู้ปกครอง และเด็กทั่วโลกต่างเรียกร้องให้เร่งดำเนินการยุติการใช้ความรุนแรงกับเด็กงานวิจัยชี้ว่าเด็กอายุ 2-24 ปี ถึง 4 ใน 5 คน ต้องเผชิญการลงโทษทางร่างกายหรือความรุนแรงทางจิตใจที่บ้านในแต่ละปี น่าสนใจว่าการลงโทษดังกล่าวส่งผลเสียต่อเด็กแต่ละคนและต่อสังคมโดยรวมรวมถึง...ก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญปัจจุบัน “ประเทศไทย” เป็นประเทศที่ 68 ของโลกที่ออกกฎหมายห้ามการลงโทษทางร่างกายเด็ก โดยเมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ.2568 สภาผู้แทนราษฎรได้ให้สัตยาบันการแก้ไขมาตรา 1567 (2) ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งก่อนหน้านี้เปิดช่องให้มีการอ้างการอบรมสั่งสอนเพื่อใช้ความรุนแรงกับเด็กมาตราดังกล่าวได้ถูกแก้ไขให้ระบุชัดว่า “การลงโทษเด็กเพื่อวัตถุประสงค์ทางการศึกษาหรือการแก้ไขพฤติกรรมจะต้องไม่เกี่ยวข้องกับการทารุณกรรม การทำร้ายร่างกายหรือจิตใจ หรือการกระทำที่ไม่เหมาะสมใดๆ” การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ถือเป็นการยืนยันแนวทางการเลี้ยงดูเด็กเชิงบวกที่เคารพผลประโยชน์สูงสุดของเด็กอย่างเป็นทางการ อีกทั้งยังทำให้ประเทศไทยสอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กของสหประชาชาติมากยิ่งขึ้นกฎหมายฉบับใหม่นี้มีผลบังคับใช้ในทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน โรงเรียน สถานสงเคราะห์เด็กหรือศูนย์เยาวชน...ดร.จิราพร อรุณากูล หรือ “หมอโอ๋” ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี และ ดร.แอมมาลี แม็คคอย หรือ “ดร.แอมมี่” ผู้อำนวยการร่วมโครงการที่มูลนิธิศานติวัฒนธรรม และนักวิจัยที่ภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สะท้อนมุมมองในเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจหมอโอ๋ บอกว่า ขณะทราบข่าวว่ากฎหมายไม่ตีเด็กมีผลบังคับใช้รู้สึกตื่นเต้น ภูมิใจ และมีความหวัง เพราะสะท้อนว่าคนส่วนใหญ่ในสังคมไทยเข้าใจแล้วว่าเด็กทุกคนสมควรได้รับการเลี้ยงดูด้วยความเคารพและการปกป้อง โดยไม่ต้องพึ่งความรุนแรง ดีใจแทนเด็กๆรุ่นต่อไปที่จะเติบโตในสังคมที่ไม่ใช้ความรุนแรงโดยเฉพาะความรุนแรงในครอบครัวที่มักแฝงมาในรูปของความรักหรือการสั่งสอน ทั้งยังภาคภูมิใจที่ประเทศไทยได้ก้าวขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมโลกในการยืนยันว่าความรุนแรงไม่ใช่ส่วนหนึ่งของการเลี้ยงดูเด็กอีกต่อไป แต่ทว่า...ก็ยังมีความห่วงใยเกี่ยวกับความเข้าใจของสังคมต่อกฎหมายนี้เนื่องจากหลายครอบครัวยังคงเชื่อว่าการลงโทษด้วยการตีหรือต่อว่าอย่างรุนแรงเป็นสิ่งจำเป็นในการสั่งสอนลูก เมื่อกฎหมายออกมาอาจเกิดความสับสน เช่น “ห้ามตีลูก แล้วจะทำอย่างไรแทน?”ความท้าทายหลังจากนี้คือ การสร้างความเข้าใจในสังคมอย่างลึกซึ้ง เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง...ผ่านทั้งการปฏิรูประบบกฎหมาย การให้ความรู้ การเคารพความแตกต่างของแต่ละครอบครัว“การผ่านกฎหมายนี้ถือเป็นก้าวครั้งสำคัญที่ยืนยันว่าเด็กไทยทุกคนมีสิทธิที่จะเติบโตโดยปราศจากความรุนแรงโดยเฉพาะในรูปแบบที่แฝงมาในการอบรมสั่งสอน ทั้งยังแสดงถึงความรับผิดชอบร่วมกันของสังคมในการดูแลให้เด็กได้รับการปกป้องทั้งทางร่างกายและจิตใจ”ที่สำคัญ...การเปลี่ยนแปลงในประเทศไทยยังส่งผลในระดับสากล เพราะเป็นตัวอย่างสำคัญให้ประเทศอื่นๆเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมเกี่ยวกับการเลี้ยงดูสามารถเกิดขึ้นได้ แม้ในบริบทที่เคยมีความเชื่อเกี่ยวกับการใช้ความรุนแรงอย่างเหนียวแน่นเสนอว่า...หลังจากกฎหมายมีผลบังคับใช้ สิ่งเร่งด่วนที่สุดคือการสื่อสารอย่างรอบคอบ เช่น ใช้คำว่า “กฎหมายไม่ตีเด็ก” แทน “กฎหมายห้ามตีเด็ก” เพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกต่อต้าน รวมทั้งการส่งเสริมแนวทางการเลี้ยงดูเชิงบวกผ่านการรณรงค์สาธารณะ การพัฒนาหลักสูตรอบรมพ่อแม่ เช่น โครงการ net-pama, Triple-P และ PLH-YC การประสานงานกับโรงเรียน การสร้างระบบให้คำปรึกษาสำหรับครอบครัว ฯลฯดร.แอมมี่ เสริมว่า กฎหมายห้ามการลงโทษทางร่างกายเด็กสอดคล้องกับความพยายามในการนำโครงการ “Parenting for Lifelong Health for Young Children : PLH–YC” มาปรับใช้ในระบบสาธารณสุขไทย ตั้งแต่ปี 2561 มูลนิธิศานติวัฒนธรรมและมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดได้ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขปรับโครงการนี้ให้เหมาะกับบริบทไทย โปรแกรม PLH-YC ออกแบบมาสำหรับครอบครัวรายได้น้อยที่มีลูกอายุ 2-9 ปีโดยอบรมผ่านเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในกลุ่มเล็กจากการวิจัยนำร่องในจังหวัดอุดรธานีกับ 120 ครอบครัว พบว่า ช่วยลดการใช้ความรุนแรงทางกายกับเด็กลงได้ถึง 58% และลดปัญหาพฤติกรรมเด็กได้60%“โปรแกรมนี้ไม่เพียงแต่ให้แนวทางทางเลือกที่มีประสิทธิผลดีกว่าการใช้ความรุนแรง แต่ยังช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์เชิงบวกในครอบครัวอีกด้วย โดยสอนพ่อแม่ในการตั้งกฎ กำหนดกิจวัตร การสั่งสอนด้วยการเสริมแรงทางบวกและการอบรมสั่งสอนที่ไม่ต้องใช้ความรุนแรง”เมื่อถามว่าการส่งเสริมการเลี้ยงดูเชิงบวกขัดแย้งกับวัฒนธรรมไทยหรือไม่? ดร.แอมมี่ บอกว่า แม้ในอดีตสังคมไทยจะมีความเชื่อว่าการลงโทษทางร่างกายเป็นสิ่งจำเป็น ดังสุภาษิตที่ว่า “รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี” แต่ปัจจุบันแนวโน้มกำลังเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดสำนักงานสถิติแห่งชาติและยูนิเซฟสำรวจข้อมูลในปี 2559พบว่า ผู้ดูแลเด็ก 48% เชื่อว่าการลงโทษด้วยการตีจำเป็น แต่ในปี 2565 ลดลงเหลือ 39% ขณะเดียวกันอัตราเด็กที่ถูกลงโทษรุนแรงก็ลดลงจาก 75% เหลือประมาณ 50% ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยระดับนานาชาติที่ชี้ว่า...การลงโทษทางร่างกายมีความเชื่อมโยงกับพฤติกรรมก้าวร้าว ปัญหาสุขภาพจิต และผลการเรียนที่ต่ำในระยะยาวดร.แอมมี่ฝากทิ้งท้ายว่า เราควรสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับประโยชน์ของการเลี้ยงดูเชิงบวก...ผลกระทบเชิงลบของการลงโทษทางร่างกาย และเราทุกคนต้องสนับสนุนภาควิชาชีพต่างๆให้เข้าใจถึงความสำคัญของการเลี้ยงดูที่ไม่ใช้ความรุนแรง เพื่อร่วมกันสร้างสังคมที่มีสันติสุขยิ่งขึ้น.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม