จากตึก สตง. ถล่มสู่การสร้างรถไฟความเร็วสูง แกะรอยทุนจีน “ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10” ถามหามาตรฐานเหล็กเส้น “ซินเคอหยวน” ภารกิจ “SEE TRUE” ทีมข่าวสืบสวนสอบสวน “ไทยรัฐทีวี 32” ยังคงเกาะติดการเข้ามาของ “ทุนจีน” บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 ที่เข้ามาทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในบ้านเรา ชัดเจนว่า...ชื่อเสียงของบริษัทนี้จะไม่ปรากฏ หากไม่มีการพังถล่มลงมาของตึก สตง. จากเหตุแผ่นดินไหว “ตึกสูงระฟ้าที่ถูกออกแบบมาด้วยความสูง 30 ชั้น ทุ่มงบประมาณก่อสร้างมากถึง 2,136 ล้าน พังถล่มลงมาในพริบตา!!”ย้อนไปดูปฐมบทที่มาการสร้างตึก สตง.แห่งนี้ กิจการร่วมค้า ไอทีดี-ซีอาร์อีซี ซึ่งเป็นบริษัทร่วมลงทุนระหว่าง บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จํากัด (มหาชน) และบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด คือผู้ชนะการประมูล ด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) ในปี 2563ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 10 ส.ค. ปี 2561 มีรายชื่อกรรมการ คือ นายชวน หลิง จาง และนายโสภณ มีชัย มีทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท จำแนกเป็นสัดส่วนผู้ถือหุ้นสัญชาติไทย 51 ล้านบาท เป็นบุคคล 3 ราย คือ นายโสภณ มีชัย (49% ของ 51 ล้านบาท), นายประจวบ ศิริเขตร (40.8% ของ 51 ล้านบาท) และนายมานัส ศรีอนันท์ (10.2% ของ 51 ล้านบาท) ส่วนสัดส่วนผู้ถือหุ้นสัญชาติจีน 49 ราย เป็นบุคคล 1 ราย คือ นายชวนหลิง จาง“เอาดีทางด้านรับเหมาก่อสร้างอาคาร อาคารที่พักอาศัย สถานที่ทำการ ทางรถไฟ ทางรถสาธารณะ และทางรถไฟฟ้าใต้ดิน” ซึ่งนอกจากการสร้างตึกและอาคารแล้ว การสร้างรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน กรุงเทพฯ-โคราช ก็เป็นอีกหมุดหมายหนึ่งที่กำลังก่อสร้าง “SEE TRUE”...ตรวจสอบข้อมูลและลงพื้นที่สำรวจ พบว่าโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน เริ่มปักหมุดก่อสร้างเส้นทางระหว่างกรุงเทพฯ-โคราช เมื่อเดือนธันวาคม ปี 60 ช่วงรัฐบาล คสช. หรือรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ 1 แบ่งการก่อสร้างเป็น 14 สัญญา...ด้วยการทยอยเปิดประมูลแต่ละสัญญา แบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ “อีบิดดิ้ง” เริ่มตั้งแต่ปลายปี 61 จนถึงปี 62...โดยกิจการร่วมค้า อิตาเลียนไทย และไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 ชนะประมูลและได้ก่อสร้างในสัญญาที่ 3–1 ช่วง “แก่งคอย–กลางดง” และช่วงปางอโศก–บันไดม้า” ระยะทาง 30 กว่ากิโลเมตร มูลค่า 9,300ล้านแต่กว่าจะได้เซ็นสัญญากับการรถไฟแห่งประเทศไทย หรือ รฟท. ก็กินเวลานานถึง 4 ปี เพราะว่าเปิดประมูลปลายรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ 1 คือเดือนมีนาคม 62 แต่เซ็นกันในช่วงปลายของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ 2 คือเดือนกรกฎาคม 66 เป็นช่วงที่นายนิรุฒ มณีพันธ์ เป็นผู้ว่าการการรถไฟฯ และนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม...สาเหตุที่เซ็นสัญญาช้า เพราะเกิดปัญหาการร้องเรียน โดยไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 ซึ่งตอนแรกแพ้ประมูล ได้ร้องกับการรถไฟฯว่า ผู้ชนะประมูล คือบริษัท บีพีเอ็นพี จำกัด ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของบริษัท นภาก่อสร้าง และพันธมิตรจากมาเลเซีย ขาดคุณสมบัตินั่นทำให้การรถไฟฯ ตัดสิทธิ์บริษัทบีพีเอ็นพี ให้ไชน่าเรลเวย์ นัมเบอร์ 10 ชนะประมูล ต่อมาบีพีเอ็นพียื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์และข้อร้องเรียนของ “กรมบัญชีกลาง” จนพลิกมาเป็นผู้ชนะอีกครั้ง...แต่ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์10 ไม่ยอมแพ้ ไปยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง ซึ่งศาลปกครองชั้นต้น พิพากษาเมื่อปี 64 ว่าบริษัทบีพีเอ็นพีขาดคุณสมบัติ และต่อมาเดือนมกราคมปี 66 ศาลปกครองสูงสุดก็พิพากษายืนตามศาลปกครองชั้นต้นให้บีพีเอ็นพีขาดคุณสมบัตินั่นจึงทำให้กิจการร่วมค้าอิตาเลียนไทย และไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 พลิกกลับมาเป็นผู้ชนะประมูลสัญญาสร้างทางรถไฟ 3-1 โดยเซ็นสัญญากับการรถไฟฯ เมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 66 ซึ่งผู้ที่เดินหน้าร้องเรียนและฟ้องร้องกันครั้งนั้น มีเพียงบริษัทไชน่าเรลเวย์ นัมเบอร์ 10 เพียงบริษัทเดียว ซึ่งตอนนี้กำลังเดินหน้าสร้างทางรถไฟความเร็วสูง 30 กว่ากิโลเมตรให้กับการรถไฟฯดังนั้น ความห่วงใยในมาตรฐานความปลอดภัยของโครงการรถไฟความเร็วสูงของ ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 จึงถูกพูดถึง หลังเกิดตัวอย่างเหตุการณ์ตึก สตง.ถล่ม!“หลังตึก สตง.ถล่ม ก็กระทบกับโครงการสร้างทางรถไฟความเร็วสูง เพราะทางบริษัทคืนเหล็กเก่าให้บริษัทซินเคอหยวนหมดเลย จีนใช้เหล็กของซินเคอหยวนที่เดียว” แหล่งข่าวซึ่งเป็นคนงานในบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 กล่าว...สอดคล้องกับเสียงชาวบ้านข้างทางรถไฟความเร็วสูงที่กำลังก่อสร้าง ที่พวกเขาถามหามาตรฐานและความปลอดภัยในอนาคต!กล่าวถึงการประมูลงานของ “ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10” ก็คงใช้กำลังภายในคล้ายกับบริษัทรับเหมาที่อื่นๆ แต่ด้วยความที่มาจากจีนทำให้ต้องใช้ “นอมินี”? แหล่งข่าวของ SEE TRUE ยืนยัน คนไทยผู้ถือหุ้นให้ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 ทั้ง 4 คน เป็นนอมินีให้กับ นายหลง วู หรือ “โลแกน” ซึ่งโลแกนเป็นนอมินีให้กับบริษัทไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 ประเทศจีนอีกทอดหนึ่ง บทบาทของนายหลง วู จะเป็นคนดีลงานจากผู้มีอำนาจและข้าราชการระดับสูง โดยใช้สายสัมพันธ์ที่พ่อของเขา คือ นายบิงลิน วู ที่มีกับคนเหล่านี้ต่อเป็นจิ๊กซอว์เข้าถึงเหตุตึก สตง.ถล่มยังคงเป็นฝันร้ายติดตาคนไทย แต่สิ่งที่น่าสะเทือนใจยิ่งกว่า นั่นคือการสูญเสียของชีวิตคน 1 ชีวิต ที่ต้องแลกกับเงินเยียวยาเบื้องต้นศพละ 1 แสน นับเป็นเงินเพียงน้อยนิด และเชื่อว่าเป็นเงินที่ไม่มีใครอยากได้...ทุกคนอยากได้ชีวิตคนในกองซากกลับคืนสู่อ้อมกอดได้กลับบ้านอย่างปลอดภัย การสูญเสียผู้คนในซากตึกส่วนใหญ่เป็นผู้ใช้แรงงาน ซึ่งหากจะเทียบเคียงกับเงินชดเชยที่ได้รับศพละ 1 แสนบาทนั้น เทียบไม่ได้กับอุปกรณ์สำนักงานในตึก สตง.ที่มีมูลค่ามากมายมหาศาล เพราะทุกอณูของตึกสำนักงานถูกเนรมิตด้วยเฟอร์นิเจอร์และสิ่งของที่หรูหราราคาหลายล้าน1 ศพ 1 แสน เมื่อเทียบเคียงแล้วจะเท่ากับมูลค่าของ “ฝักบัวอาบน้ำ” ผู้บริหารในตึก สตง.เพียงแค่ 9 อันเท่านั้น?...สังคมกำลังจับตาการดำเนินคดีของ “ภาครัฐ” ว่าจะเอาผิดสาวถึงตัว “ไอ้โม่ง” ตัวจริงได้หรือไม่หรือการขยายผลจะถูกตัดตอนลงที่ “นอมินี” ตัวเล็กๆที่เป็นคนไทย!คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม