นาทีนี้ประเด็นสำคัญดึงความสนใจของผู้คนจำนวนมากทั่วโลกอยู่ที่ “การเจรจาการค้า” กับพี่ใหญ่อย่างสหรัฐฯ หลังประกาศกร้าวเรียกเก็บอัตราภาษีสินค้านำเข้าประเทศเกินดุลตามสูตรสะดวกใจฉันจนสร้างความปั่นป่วนไปทั่วโลก พ่วงด้วยการเปลี่ยนใจไปมารายวัน ทำเอาจับทางเดาใจไม่ถูกหลายประเทศเร่งติดต่อขอพูดคุย ขณะที่เพื่อนบ้านในเอเชียอย่าง “เกาหลีใต้” ที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 4 ของเอเชีย มีคิวเข้าเจรจายื่นข้อเสนอกับนายสก็อตต์ เบสเซนต์ รมว.คลังสหรัฐฯ มหาเศรษฐีกองทุนเฮดจ์ฟันด์ และนายเจมิสัน เกรียร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ตั้งแต่เช้าของวันที่ 24 เม.ย.ในปี 2567 ที่ผ่านมา เกาหลีใต้ค้าขายเกินดุลสหรัฐฯอยู่มากโข แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 66,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 29.2% จาก 14,900 ล้านดอลลาร์ ในปี 2566 ส่วนในไตรมาสแรกของปี 2568 นี้ยังเกินดุลสหรัฐฯ 13,380 ล้านดอลลาร์ ที่สำคัญยังสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนเล็กน้อยอีกต่างหากสื่อใหญ่ของสหรัฐฯ อย่าง นสพ. นิวยอร์ก ไทม์ส และซีเอ็นบีซี มองว่าเกาหลีใต้มองเห็นช่องทางในการดึงดูดโน้มน้าวใจผู้นำสหรัฐฯที่ต้องการฟื้นคืนชีพอุตสาหกรรมต่อเรือที่ซบเซาให้กลับมาเฟื่องฟู ขณะที่ เกาหลีใต้มีดีกรีเป็นถึงผู้ต่อเรือรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก เป็นรองแค่เพียงคู่แค้นคู่แข่งของสหรัฐฯอย่างจีนเท่านั้น จึงสามารถใช้จุดนี้ช่วยให้สหรัฐฯบรรลุเป้าหมายได้อย่างเป็นรูปธรรม ยังไม่รวมข้อเท็จจริงที่ว่าเป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯมาอย่างยาวนาน หวังว่าจะช่วยลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าเกาหลีใต้ 25% ได้นอกจากนี้ยังเสนอซื้อก๊าซธรรมชาติเหลวจากสหรัฐฯ ปริมาณมาก รวมทั้งยังกำลังพิจารณาความร่วมมือด้านก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) โดยการลงทุนในโครงการก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ในรัฐอลาสกาของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นโครงการที่ได้รับการส่งเสริมในช่วงวาระแรกของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีเป้าหมายผลิตก๊าซธรรมชาติจากตอนเหนือของรัฐอลาสกา ขนส่งผ่านท่อส่งก๊าซยาว 1,300 กิโลเมตร ไปยังชายฝั่งตอนใต้ และส่งออกไปยังตลาดในเอเชีย ทั้งเกาหลีใต้และญี่ปุ่น ซึ่งต้องใช้เงินลงทุน 44,000 ล้านดอลลาร์ ต้องพึ่งพาเงินทุนจากต่างชาติเป็นอย่างมาก ขณะที่เกาหลีใต้ไม่มีมาตรการตอบโต้ต่อสหรัฐฯ ส่วนผลการพูดคุยจะเป็นอย่างไรไม่นานคงได้รู้กัน.อมรดา พงศ์อุทัยคลิกอ่านคอลัมน์ “หน้าต่างโลก” เพิ่มเติม