เหตุการณ์แผ่นดินไหว “ใกล้เมืองมัณฑะเลย์ในเมียนมาขนาด 8.2” แรงสั่นสะเทือนได้แผ่ขยายมายังประเทศไทยตั้งแต่ภาคเหนือลงมาถึงกรุงเทพฯ ทำให้อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแห่งใหม่ (สตง.) ที่กำลังก่อสร้างถล่มลงมาจนมีผู้ติดอยู่ใต้ซากปรักหักพังนับร้อยคนทั้งยังสร้างความเสียหายต่อ “โครงสร้างพื้นฐานอาคารหลายแห่ง” โดยเฉพาะอาคารก่อสร้างก่อนบังคับใช้กฎหมายอาคารต้านทานแผ่นดินไหวปี 2550 ก่อเกิดความกังวลขาดความเชื่อมั่นจนชะลอการเช่า-ซื้ออาคารสูง ประเมินเบื้องต้นมวลรวมไตรมาส 2 น่าจะขยายตัวติดลบเมื่อเทียบไตรมาสแรกที่เศรษฐกิจน่าจะขยายได้สูงเกือบ 4%แม้ว่าแผ่นดินไหวจะมาจาก “รอยเลื่อนสะกายในเมียนมา” แต่เหตุการณ์ After Shocks ยังไม่อาจทำนายได้แม่นยำคงสร้างความไม่แน่นอน “ทางเศรษฐกิจ” ทำให้เกิดการชะงักงันที่จะเห็นได้ชัดเจนในต้นไตรมาส 2 นี้ทั้งเกิดการชะลอตัวกิจกรรมทางเศรษฐกิจ “จากความไม่มั่นใจต่อความมั่นคงโครงสร้างพื้นฐาน” อย่างเขื่อน ทางยกระดับ สะพาน อาคารสูง จนเกิดต้นทุนในการตรวจสอบสิ่งก่อสร้างนั้นสามารถรับมือแผ่นดินไหวได้หรือไม่ซึ่งเป็นผลกระทบต่อการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ในระยะหนึ่งก่อนจะคืนสู่ปกติที่มีผลต่อภาคการท่องเที่ยวโดยตรงไม่เท่านั้นยังมีผลในการชะลอตัวของอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติม ทั้งคอนโดมิเนียม และอาคารสูงที่มีมาตรฐานการก่อสร้างไม่ดี หรือมีความสงสัยในมาตรฐาน “อาจขายออกยาก” เพราะคนไม่น้อยทยอยขายจนเรียกว่า “พาเหรดขายคอนโดฯ” ที่มีแนวโน้มกดให้ราคาต่ำลงในช่วงนี้แล้วบางคนจะหันมาซื้อบ้านแนวราบมากขึ้นแทน ความไม่มั่นใจทั้งหลายที่กล่าวมานั้น รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ม.หอการค้าไทย และอดีตกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ สาขาเศรษฐศาสตร์ บอกว่า หากไม่สามารถสร้างมาตรฐานในโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ได้ดีย่อมมีผลต่อเศรษฐกิจ การลงทุน ความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินระยะยาวเพราะการประกาศรับรองว่า “สิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ทั้งหลายได้มาตรฐาน” ไม่อาจช่วยอะไรได้เลยหากไม่ดำเนินการที่เป็นจริง “โดยเฉพาะเรื่องมาตรฐานการรับมือกับภัยพิบัติต่างๆ” ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหว อัคคีภัยที่อาจเกิดในอาคารสูง และเมื่อมีมาตรฐานแล้วก็ต้องกำกับบังคับใช้กฎหมายให้เป็นไปตามมาตรฐานนั้นด้วยเนื่องจากปัญหาเรื่องกรุงเทพฯ “จะจมจากแผ่นดินทรุดและระดับน้ำทะเลสูงขึ้น” ยังเป็นสิ่งต้องเริ่มวางแผนป้องกันอย่างจริงจัง เพราะถ้าดูงานวิจัยกรีนพีซเตือนอีก 7-8 ปี กรุงเทพฯอาจจมทะเลสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ สังคมรุนแรงหากไม่ทำอะไรแต่ตอนนี้ เพราะเศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมเกี่ยวพันกันมากขึ้นเรื่อยๆแม้แต่ธนาคารโลกก็ชี้ว่าต้นทุนทางเศรษฐกิจจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือภาวะโลกร้อนที่ไม่มีการแก้ไขสูงถึง 20% ของจีดีพีโลกแล้วเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หากว่าพื้นที่มากกว่า 80% ของกรุงเทพฯจมทะเลตามงานวิจัยกรีนพีซประเมินจะกระทบประชาชน 10.45 ล้านคน มูลค่าความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจ 18.6 ล้านล้านบาทตอกย้ำต่อว่า “ผลกระทบต่อเนื่องจากแผ่นดินไหวมีโอกาสลุกลาม” หากไม่อาจสร้างความเชื่อมั่นได้ว่า “อาคารสูงในกรุงเทพฯ ปลอดภัย” สำหรับการทำงาน การท่องเที่ยว และการพักอาศัย เพราะลักษณะกายภาพของพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ไม่เหมาะที่จะสร้างอาคารสูงมากอยู่แล้วปัจจัยจากพื้นดินใต้กรุงเทพฯ เป็นดินอ่อนดินตะกอนทรุดตัวง่ายหากเกิดแผ่นดินไหวมีโอกาสขยายแรงสั่นสะเทือน 3 เท่า อย่างคลื่นแผ่นดินไหวมาจากทางไกลรอยเลื่อนสะกายเกิดคลื่นคาบยาวกระทบอาคารสูงได้มากเช่นนี้เรื่องสำคัญต้องเฝ้าระวังรอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ และรอยเลื่อนเจดีย์สามองค์ ด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ “ต้องกระจายความเป็นศูนย์กลางความเจริญออกไป” เพื่อลดการขยายตัวของกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทั้งสร้างระบบป้องกันภัยพิบัติให้กับกรุงเทพฯ มีระบบเตือนภัย ระบบเตรียมความพร้อมที่ดีกว่านี้ ขณะเดียวกันก็ต้องป้องกันผลกระทบจาก “เขื่อนแตกหากเกิดแผ่นดินไหวรุนแรง” ทั้งยังต้องออกแบบ และวางแผนรับมือกับแผ่นดินไหวของระบบโรงพยาบาล โดยเฉพาะห้องผ่าตัดฉุกเฉินจะทำอย่างไรให้สามารถดำเนินการต่อไปได้ หรืออาจต้องให้ห้องผ่าตัดฉุกเฉินเหล่านี้อยู่ในอาคารโซนต่ำประการสำคัญปัญหามาตรฐานอาคารสูงในกรุงเทพฯ และความเสียหายโครงสร้างพื้นฐานมากกว่าปกติเผยโฉมของการทุจริตคอร์รัปชันหยั่งรากลึกในสังคมไทย สะท้อนจากวัสดุใช้ก่อสร้างต่ำกว่ามาตรฐาน และไม่เตรียมรับแผ่นดินไหวเขย่าจนให้เห็นถึงปัญหาคอร์รัปชัน และความอ่อนแอของระบบรับมือภัยพิบัติขนาดใหญ่กรณีอาคาร สตง.กำลังก่อสร้างเป็นตึกเดียวที่ถล่มในช่วงการเกิดแผ่นดินไหวคงต้องสอบสวนให้ชัดเจนว่าเกิดอะไร ด้วย สตง.เป็นหน่วยตรวจสอบงบการเงินภาครัฐ จึงต้องโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้างโครงการ หากมีความสงสัยเรื่องความโปร่งใส ความน่าเชื่อถือการใช้งบประมาณภาครัฐจะลดลงไม่เป็นผลดีต่อประเทศและเศรษฐกิจสำหรับแรงงานเสียชีวิต และสูญหายในอาคารถล่มต้องเร่งค้นหาโดยเร็ว “การเยียวยา” ประเทศไทยมีระบบกองทุนเงินทดแทน กองทุนฐานะความมั่นคงทางการเงินในการดูแลผลกระทบจากภัยพิบัติขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นกับพี่น้องผู้ใช้แรงงานได้ รวมถึงกองทุนเงินทดแทน สำนักงานประกันสังคม สามารถดูแลตามเงื่อนไขของกฎหมายอย่างเช่นการรักษาพยาบาลตามความจำเป็นไม่เกิน 65,000 บาท กรณีโรงพยาบาลรัฐจ่ายตามความจำเป็นจนสิ้นสุดการรักษา และโรงพยาบาลเอกชนจ่ายสูงสุดไม่เกิน 1 ล้านบาท การหยุดงานจ่ายร้อยละ 70 ของค้าจ้างไม่เกิน 14,000 บาทตั้งแต่วันแรกไม่เกิน 1 ปี การสูญเสียอวัยวะได้รับร้อยละ 70 ไม่เกิน 10 ปี หากการทุพพลภาพได้รับร้อยละ 70 ของค่าจ้างตลอดชีวิต การตายหรือสูญหายค่าทำศพ 5 หมื่นบาท นอกจากนี้ผู้ประกันตน ม.33, 39 ได้รับผลกระทบจะได้รับสิทธิประโยชน์กรณีเจ็บป่วย เสียชีวิต ทุพพลภาพ มีเงินทดแทนการขาดรายได้ และ ม.40 ผู้รับผลกระทบมีสิทธิประโยชน์กรณีประสบอันตราย เจ็บป่วย ทุพพลภาพ และเสียชีวิตสุดท้ายการที่ประชาชนมีชีวิตปลอดภัยจากภัยพิบัติอยู่อาศัยในสิ่งแวดล้อมที่ดี “เป็นสิทธิพื้นฐานที่ทุกคนต้องได้รับการดูแล” แล้วการคอร์รัปชันทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตผู้คนก็เป็นสิ่งร้ายที่สุดเช่นกันฉะนั้นหากไทยสามารถแสดงให้เห็นถึง “การรับมือภัยพิบัติมีประสิทธิภาพ และปราบปรามการคอร์รัปชันได้เป็นรูปธรรม” จะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ต่างชาติในการลงทุนทำธุรกิจในประเทศได้มากขึ้น.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม