เป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่ธรรมดาจากการที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีประเทศที่ส่งสินค้าไปขายในสหรัฐฯ ราว 150 กว่าประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะยุโรป เอเชีย อ้างเหตุผลเพราะได้ดุลการค้ามากเกินไป ทำให้สหรัฐฯเสียเปรียบทีแรกก็บอกว่าจะขึ้นภาษีจีนมากสุด 60% ประเทศอื่นๆ 10% แต่เอาเข้าจริงไม่ใช่อย่างนั้น อย่างไทยโดนไป 36%ก็แน่ละ...ทำให้ภาคเอกชนและประชาชนโดยทั่วไปต่างก็วิตกกังวลต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตามมา ปัญหาก็คือเรื่องใหญ่แบบนี้รัฐบาลเงียบหรือแทบไม่มีความเคลื่อนไหวคล้ายเย็นชาทำให้มีเสียงร้องให้รัฐบาลประกาศให้ชัดว่าจะแก้ไขอย่างไรยิ่งเห็น “เวียดนาม” เดินหน้าเจรจากับสหรัฐฯแล้วก็ยิ่งหวั่นไหวสุดท้ายรัฐบาลก็ประกาศความคืบหน้าว่าไม่ได้นิ่งนอนใจ แต่ได้ตั้งทีมงานรับผิดชอบตั้งแต่ต้นปีแล้ว ซึ่งทีมงานมี 9 คนและจะให้ “พิชัย ชุณหวชิร” รัฐมนตรีคลัง เป็นหัวหน้าคณะเดินทางไปสหรัฐฯพร้อมผู้เกี่ยวข้อง เพื่อเจรจากับสหรัฐฯทั้งนี้ ได้มีการศึกษาและเตรียมข้อมูลทุกอย่างเอาไว้หมดแล้วไม่ต้องกังวลก็ดีครับ...ว่ากันถึงแนวคิดหรือวิธีการที่ “ทรัมป์” นำมาใช้นี้ได้ก่อให้เกิดผลกระทบไปทั่วโลก โดยเฉพาะเอเชียที่หลายประเทศในกลุ่มอาเซียนนั้นโดนทั้งหมดนั่นทำให้มองเห็นภาพได้ว่าประเด็นการค้าที่เรียกว่าสงครามการค้านั้นเป็นเพียงเครื่องมือที่ไปสู่ความมั่นคงของโลก ที่สหรัฐฯจะใช้เป็นเวทีต่อรองกับประเทศต่างๆคือให้ประเทศต่างๆต้องสยบยอม โดยเอามาตรการ “ทุบหม้อข้าว” เป็นเครื่องมือต่อรอง หากใครยอมก็จะผ่อนปรนให้ใครไม่ยอมแข็งขืนก็จะโดนหนัก!แนวคิดเหล่านี้เกี่ยวพันไปถึงการที่ “ทรัมป์” ประกาศว่าเขาจะอยู่ในอำนาจต่อไป แม้จะครบเทอม 4 ปีก็ตาม เพราะกฎหมายสหรัฐฯผู้นำประเทศจะอยู่ได้แค่ 8 ปี 2 สมัยเท่านั้นแนวคิดต่างๆเหล่านี้เป็นจิ๊กซอว์ที่ทำให้เห็นว่าเขาต้องการเป็นผู้นำประเทศยาวๆอย่าง “ปูติน” แห่งรัฐเซีย และ “สี จิ้นผิง” แห่งประเทศจีน2 ประเทศนี้คือศัตรูของสหรัฐฯ ที่มีจีนเป็นเบอร์ 1จึงต้องการที่จะจัดระเบียบโลกใหม่ด้วยการนำประเด็นเศรษฐกิจมาเป็นเครื่องมือเพื่อให้ประเทศต่างๆยอมสยบไม่ใช่แค่เอเชียเท่านั้น ยุโรปก็อยู่ในข่ายด้วย!ทำไมประเทศในกลุ่มอาเซียน ซึ่งโดนทั้งหมดก็เพราะสหรัฐฯต้องการให้ประเทศในกลุ่มนี้ยอมเป็นบริวารของสหรัฐฯเนื่องจากระยะหลังๆมานี้หลายประเทศในอาเซียนเอนเอียงไปทางจีนมากกว่าสหรัฐฯ ทำให้ไม่สามารถปิดล้อมจีนได้ที่สำคัญ “จีน” กำลังแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถยืนหนึ่งเท่ากับสหรัฐฯได้ดังนั้น จึงต้องใช้มาตรการเศรษฐกิจบีบให้ประเทศเหล่านี้หันมาหนุนสหรัฐฯในสงครามด้านความมั่นคง“ไทย” คือประเทศหนึ่งในเป้าหมายของสหรัฐฯ แม้จะมีสัมพันธ์อันดีมายาวนาน แต่ระยะหลังในสายตาสหรัฐฯเห็นว่า “ไทย” ให้นํ้าหนัก “จีน” มากกว่า “สหรัฐฯ”แน่นอนว่าทีมเจรจาจะต้องเจอข้อต่อรองต่างๆที่มิใช่แค่เศรษฐกิจเท่านั้น แต่จะวางนํ้าหนักไปทางด้านความมั่นคงด้วยพูดง่ายๆคือต้องการเห็นท่าทีของไทยที่ชัดเจน ไม่ใช่บอกว่าเป็นกลางเท่านั้น!“สายล่อฟ้า”คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม