กลายเป็นประเด็นที่ทั่วโลกจับตาถึงความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกากับยูเครนที่นับวันยิ่งสั่นคลอนทุกที หลังจากที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” ขึ้นครองตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็แสดงความชัดเจนที่จะเดินหน้าจบสงครามรัสเซียกับยูเครน อย่างความเคลื่อนไหวล่าสุดคือข้อตกลงแรร์เอิร์ธ รวมถึงทรัพยากรธรรมชาติระหว่างยูเครนกับสหรัฐฯที่มีกำหนดการลงนามในวันที่ 28 ก.พ.ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯเป็นดีลสำคัญที่ทรัมป์มองว่า จะเป็นการทวงคืนเม็ดเงินของสหรัฐฯที่เคยให้การสนับสนุนทั้งด้านการทหาร และทางการเงินไปหลายแสนล้านดอลลาร์ให้แก่ยูเครนในช่วงที่ทำสงครามกับรัสเซีย ผ่านการใช้ข้อตกลงแรร์เอิร์ธฉบับนี้ ที่กว่าจะเสร็จก็ใช้เวลาอยู่พอสมควร จนสุดท้าย “โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี” ประธานาธิบดียูเครน เดินทางมายังกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อลงนามด้วยตัวเอง โดยยังเผยก่อนเดินทางด้วยว่าจะถามตรงๆกับสหรัฐฯว่ายูเครนจะยังได้รับการสนับสนุนทางทหารจากสหรัฐฯ อยู่หรือไม่สำหรับข้อตกลงฉบับนี้ เสนอโดย “สก็อตต์ เบสเซนต์” รมว.คลังของสหรัฐฯ เมื่อเดินทางไปยังกรุงเคียฟของยูเครนเมื่อช่วงต้นเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ด้วยความหวังว่าข้อตกลงนี้จะช่วยสอดประสานความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ กับยูเครนได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อยูเครนในช่วงยุคหลังสิ้นสุดสงครามรัสเซีย-ยูเครนอย่างมาก อีกทั้งยังช่วยทำให้เกิดสันติภาพระหว่างยูเครนกับรัสเซียอย่างยั่งยืนเช่นกันอย่างไรก็ตาม ณ ห้วงเวลานั้น เบสเซนต์ต้องกลับบ้านมือเปล่า เนื่องจากข้อตกลงฉบับนี้ถูกปฏิเสธ ผู้นำยูเครนไม่ยอมลงนามเพราะเนื้อหาข้อตกลงระบุให้สหรัฐฯสามารถเข้าถึงแร่ธาตุหายากในยูเครนได้มากกว่า 50% เพื่อเป็นการตอบแทนสหรัฐฯที่ให้การสนับสนุนด้านการทหารและการเงินกับยูเครน โดยไร้การรับประกันความปลอดภัยแก่ยูเครน ส่งผลให้เซเลนสกีไม่มั่นใจว่าจะได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯต่อไปหรือไม่ รวมถึงมีการระบุงบประมาณที่สหรัฐฯให้การสนับสนุนแก่ยูเครนในช่วงเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน ในแบบที่ยูเครนเห็นว่าเยอะเกินจริง อีกทั้งยังบ่งชี้ว่าปริมาณเงินเหล่านี้คือหนี้ที่ยูเครนต้องชดใช้ให้สหรัฐฯที่ผ่านมาไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดของข้อตกลงฉบับดังกล่าวอย่างเป็นทางการสู่สาธารณะ แต่มีรายงานจากสำนักข่าวต่างประเทศหลายสำนักที่ระบุตรงกันว่า สหรัฐฯไม่เสนอตัวว่าจะเป็นฝ่ายรับประกันความปลอดภัยให้กับยูเครนจากการรุกรานของรัสเซีย แต่สหรัฐฯ จะช่วยสนับสนุน “ความพยายาม” เหล่านี้ในอนาคต ส่วนหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทม์สของอังกฤษ เคยรายงานอ้างแหล่งข่าวว่า ข้อตกลงเรื่องทรัพยากรระหว่างยูเครนกับสหรัฐฯมีการระบุถึงการทำสัญญาเป็น “เจ้าของร่วม” ในการพัฒนาแหล่งทรัพยากรของยูเครน และการกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมในการเข้าถึงทรัพยากรบางประเภทที่เป็นรายได้ ของยูเครนมาแต่เดิม แต่ไม่มีรายละเอียดเรื่องการให้สิทธิการเข้าถึงแต่เพียงผู้เดียวแก่สหรัฐฯตามที่รัฐบาลทรัมป์เสนอไปในคราวแรก รวมถึงไม่มีรายละเอียดเรื่องหลัก ประกันความมั่นคงที่ยูเครนพยายามเรียกร้องจากสหรัฐฯขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์ก็เคยเปิดเผยก่อนหน้านี้ด้วยว่า หนังสือข้อตกลงแรร์เอิร์ธเป็นหลักประกันที่เพียงพอสำหรับยูเครนที่ได้จากสหรัฐฯแล้ว โดยยังยืนยันว่าข้อตกลงนี้ไม่มีการรับประกันความปลอดภัยให้แก่ยูเครน แต่เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของชาติยุโรปต่างหากจนกระทั่งเมื่อวันที่ 27 ก.พ.ที่ผ่านมา เบสเซนต์เปิดเผยกับสำนักข่าวฟ็อกซ์ บิซิเนสว่า ขณะนี้ข้อตกลงได้ข้อสรุปแล้ว และผู้นำยูเครนก็กำลังเดินทางมายังสหรัฐฯ เพื่อลงนามในวันรุ่งขึ้น ดังนั้นก็จะไม่มีการหารือและเจรจาอะไรอีก เพราะข้อตกลงนี้ลงตัวพร้อมใช้งาน รวมถึงย้ำด้วยว่าอันที่จริงดีลนี้ ได้ข้อสรุปมาสักพักแล้ว แต่ต้องรอการจดปลายปากกาเพื่อให้ข้อตกลงบรรลุผลจากยูเครน มั่นใจเลยว่าประธานาธิบดีเซเลนสกีและประธานาธิบดีทรัมป์จะต้องมีการหารือเพิ่มเติมอีก แต่ ณ ตอนนี้รัฐบาลยูเครนก็อนุมัติแล้ว รวมถึงยูเลีย สวีรีเดนโก รมว.เศรษฐกิจของยูเครน ก็ยอมรับข้อตกลงฉบับนี้เบสเซนต์ยังกล่าวต่อไปเพื่อไขความกระจ่างด้วยว่าข้อตกลงแรร์เอิร์ธที่เสนอโดยสหรัฐฯ ไม่ได้ทำให้ฝ่ายใดเสียเปรียบ เป็นแบบ “วิน–วิน” ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย เราให้ความสำคัญกับทรัพยากรของยูเครน ไม่ใช่แค่แร่ธาตุหายาก แต่ยังรวมถึงน้ำมัน ก๊าซ และโครงสร้างสาธารณูปโภคต่างๆ หากดีลนี้สำเร็จก็จะมีแต่เรื่องราวดีๆเกิดขึ้นกับชาวยูเครนกับชาวอเมริกันทั้งนั้นนอกจากนี้ ข้อตกลงแรร์เอิร์ธยังแสดงให้เห็นว่าเรื่องนี้ยังถือว่าได้สร้างผลประโยชน์ให้แก่ชาวอเมริกัน ทำให้เห็นว่าสหรัฐฯ ไม่ได้ใช้จ่ายเงินอย่างสุรุ่ยสุร่าย เนื่องจากชาวอเมริกันมักกังวลอยู่เสมอว่าจะมีการแทรกแซงจากต่างชาติ อีกทั้งยังมีการทุจริตเกิดขึ้นมากมาย ดังนั้นข้อตกลงนี้ก็มีแนวโน้มจะช่วยลดการเกิดทุจริตได้เช่นกันสุดท้ายนี้คงต้องรอดูกันต่อไปว่า ข้อตกลงฉบับนี้จะมีผลดีมากกว่าผลเสียอย่างที่ว่าไว้หรือไม่.อาทิตญา ทาแป้งคลิกอ่านคอลัมน์ “7 วันรอบโลก” เพิ่มเติม