เมื่อข้อกล่าวหา สว.ลากตั้ง “อั้งยี่และซ่องโจร” “แรงไป” พวกหัวหมอก็ลดระดับ “ตัดคำ” “ซ่องโจร” ออก แจกแจงพฤติกรรมเนื้อๆแบบว่าอั้งยี่ที่เขาอยากให้เชื่อว่า ยังไว้หน้าเหลือเกียรติยศศักดิ์ศรีให้ สว.บ้างแต่อาจารย์นันทนา นันทวโรภาส หนึ่งใน สว.ส่วนน้อยกลับประเมินว่า “งานนี้ไม่ใช่งานตบๆจูบๆแบบหนังไทย แต่เป็นสงครามนิวเคลียร์ มุ่งฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ท่าน สว.ลากตั้ง นั่นเทียว”“งาน” ที่รู้กัน พรรคเพื่อไทยเปิดปฏิบัติการกับพรรคภูมิใจไทย ...ภาษาวงการกีฬาใช้คำว่า “มวยถูกคู่”ระหว่างคอการเมืองลุ้นระทึกหากนายใหญ่กับครูใหญ่ได้เจอกัน ผมก็หาหนังสืออ่านเรื่องอั้งยี่ ส.พลายน้อย เล่าไว้ในสารานุกรมประวัติศาสตร์ไทย (พิมพ์คำสำนักพิมพ์ พิมพ์ครั้งที่ 1 พ.ศ.2553) ว่าอั้งยี่แบ่งการปกครองคณะออกเป็นสี่ลำดับชั้น1.ตั้วเฮียสี่ “สี่” แปลว่า “อำนาจยิ่ง” หมายถึง ผู้เป็นใหญ่ในคณะ มีอำนาจบังคับบัญชาสูงสุด2.ยี่เฮียจี๊ “ยี่เฮีย” แปลว่า “พี่ที่ 2” จี๊ แปลว่า “เงิน” ผู้รับตำแหน่งนี้จะต้องมีเงิน หาเงิน ดูแลการเงินเจือจานแก่หมู่คณะ ดูแลการจับจ่ายใช้สอยทุกอย่าง3.ซาเฮียบี้ “ซาเฮีย” แปลว่า “พี่ที่ 3” “บี้” แปลว่า “ข้าว” หมายถึงผู้จัดหาเสบียงอาหารเลี้ยงดูหมู่คณะไม่ให้อดอยาก4.อั้งคุณ แปลว่า “มวยแดง” หมายถึงหัวหน้าควบคุมคนมีฝีมือ ไว้ต่อสู้หรือปราบปรปักษ์คำเรียก “ตั้วเฮีย” เพี้ยนเป็น “ตั้วเหี่ย” ถูกใช้เป็นชื่อเรียกอีกชื่อของพวกอั้งยี่ พวกนี้เริ่มก่อการกำเริบครั้งแรกในรัชกาลที่ 3 พระราชพงศาวดารจดไว้สั้นๆว่าครั้นมาถึงในเดือน 6 ข้างขึ้น เกิดตั้วเหี่ยขึ้นที่เมืองนครไชยศรี และแขวงเมืองสาครบุรี 3 พวก พวก 1 อ้ายจีนคิม พวก 1 อ้ายจีนเอีย พวก 1 อ้ายจีนเปียว ซึ่งเป็นที่ขุนวิจิตรภักดี นายอำเภอสาครบุรี มีผู้คนเข้าพวกด้วย พวกละประมาณ 1,000 คนจึงโปรดให้พระสมบัติวานิช หลวงเทพภักดีกับหัวหมื่นตำรวจออกไปจับอ้ายจีนคิมกับอ้ายจีนเปียว ซึ่งเป็นขุนวิจิตรภักดีเข้ามา โปรดให้ลงพระราชอาญาจำคุกไว้ แต่จีนเอียนั้นหนีไปได้พวกอั้งยี่ในกรุงเทพฯก่อเหตุกำเริบครั้งใหญ่ เมื่อ พ.ศ.2422 ครั้งนั้นมีอั้งยี่ 2 พวก พวกตั้วกงสีเป็นของพวกจีนแต้จิ๋ว พวก“ซิวลี่กือ” เป็นของพวกจีนฮกเกี้ยนจีนสองพวกนี้ไม่ถูกกัน แย่งงานกัน จนวันที่ 19 มิ.ย.2422 เริ่มลงมือขว้างปาตีกันตั้งแต่บ่าย พอตกค่ำก็เอาปืนมายิงกันตลอดคืน บริเวณถนนเจริญกรุงตั้งแต่ตลาดบางรักลงไป รบกันติดพันถึงศุกร์ 21 มิ.ย. ทหารจึงต้องไปปราบสมัยนั้นมีรถราง ทหารบกไปรถราง ทหารเรือไปทางเรือ ได้เวลาก็บุกเข้าปราบ พร้อมกันทั้งด้านหน้าด้านหลัง พวกอั้งยี่ส่วนใหญ่ก็หมดใจสู้ยอมให้จับ การจับก็ง่ายไม่สับสน เพราะทุกคน ไว้ผมเปียทหารจับแล้วก็ใช้ผมเปียผูกไว้เป็นพวงๆ คุมให้เดินมาคุมขังแถวกระทรวงกลาโหม หน้าพระบรมมหาราชวังงานปราบอั้งยี่เท่าที่มีในบ้านเมืองเราไม่ว่าที่ภูเก็ต ที่ฉะเชิงเทรา หรือที่สมุทรสาครหรือที่ไหนๆทไม่หนักหนาเมื่อทางการเอาจริงส่งกำลังไปปราบก็จบแตกต่างจาก “อั้งยี่” กลุ่มล่า รู้กันว่าเป็นพรรคการเมืองใหญ่ อำนาจตรงๆก็ไม่น้อย อำนาจแฝงตั้งองค์กรอิสระ คุมชะตาใครต่อใครไว้ทั้งบ้านเมืองใหญ่ถึงขนาดแค่ถูกขู่ตั้งข้อหาก็งัดข้อกฎหมายจะใช้อำนาจ ปลดรัฐมนตรียุติธรรม จะเล่นงานดีเอสไอให้มันรู้กันไปเลย บ้านนี้ เมืองนี้ใครหมู่ใครจ่าสงครามการเมืองไทยครั้งนี้ ทำเอาชาวบ้านสะใจ “มันเขี้ยว” ไปด้วยไม่น้อย ผมเป็นห่วงก็แต่ว่าถ้าจบลงแบบมวยล้มต้มคนดู... ไม่ว่านายกฯลูกหรือนายกฯพ่อ จะอยู่ต่อไปไม่ได้ เพราะคนไทยไม่ยอม.กิเลน ประลองเชิงคลิกอ่านคอลัมน์ “ชักธงรบ” เพิ่มเติม