สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) หรือ SACIT เดินหน้าตอกย้ำคุณค่าศิลปหัตถกรรมไทย ชูงาน “เครื่องรัก-เครื่องมุก” ผ่านนโยบาย “หัตถศิลป์ที่คิดถึง” ขับเคลื่อนนโยบายการอนุรักษ์งานฝีมือทรงคุณค่า และสืบทอดมรดกทางภูมิปัญญาอันล้ำค่าให้อยู่คู่สังคมไทย มุ่งสร้างเครือข่ายแลกเปลี่ยนทักษะเชิงช่าง และเชิดชูผู้สร้างสรรค์ศิลปหัตถกรรม ควบคู่ผลักดันการถ่ายทอดองค์ความรู้ไม่ให้สูญหายไปตามกาลเวลา ผศ.ดร.อนุชา ทีรคานนท์ ผอ.สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย กล่าวว่า SACIT มีนโยบายในการสืบสาน อนุรักษ์ “หัตถศิลป์ที่คิดถึง” หรือกลุ่มงานศิลปหัตถกรรมไทยมรดกทางภูมิปัญญาของประเทศที่ใกล้สูญหายให้ยังคงอยู่กับคนรุ่นหลัง โดยในปี 2568 นี้ SACIT ได้มุ่งเน้นถ่ายทอดองค์ความรู้ และให้ความสำคัญกับงาน “เครื่องรัก-เครื่องมุก” ซึ่งเป็นงานศิลปหัตถกรรมที่มีการสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน ผลักดันการถ่าย ทอดองค์ความรู้เพื่อไม่ให้สูญหายไปตามกาลเวลา พร้อมปูทางเชื่อมโยงองค์ความรู้ และกระบวนการทักษะเชิงช่างในระดับนานาชาติ สำหรับนโยบายการสืบสานและส่งเสริมคุณค่าหัตถกรรมไทยที่ใกล้สูญหาย มีวัตถุประสงค์เพื่อการอนุรักษ์งานศิลปหัตถกรรมไทยอันทรงคุณค่าและสืบทอดมรดกภูมิปัญญา พร้อมทั้งผลักดันผลิตภัณฑ์ในกลุ่มงาน “หัตถศิลป์ที่คิดถึง” ให้เป็นที่รู้จักทั้งในและต่างประเทศ โดย SACIT มุ่งเชื่อมโยงองค์ความรู้และสร้างเครือข่ายงานศิลปหัตถกรรมประเภทเครื่องรักในระดับสากล ผ่านการดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรม อาทิ การสร้างเครือข่ายงานศิลปหัตถกรรม “Local Craft to Global Market” เพื่อแลกเปลี่ยนแนวทางพัฒนางานศิลปหัตถกรรมและแนวทางการส่งเสริมองค์ความรู้งานศิลปหัตถกรรมประเภทเครื่องรัก ผ่านการจัดนิทรรศการ ณ ประเทศญี่ปุ่น พร้อมทั้งได้ประสานความร่วมมือเชิญมาร่วมในงาน SACIT Symposium การประชุมวิชาการด้านศิลปหัตถกรรม จากผู้เชี่ยวชาญและผู้สร้างสรรค์งานหัตถกรรมจากกลุ่มประเทศอาเซียน รวมไปถึงจีน เกาหลี และญี่ปุ่น ซึ่งจะจัดขึ้นในเดือนสิงหาคมนี้ ณ สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) เป็นการเปิดมุมมองใหม่ในการพัฒนางานหัตถศิลป์ไทยหลายแขนง นอกจากนี้ SACIT ยังคงให้ความสำคัญกับผู้สร้างสรรค์งานศิลปหัตถกรรม โดยเฟ้นหาและนำมายกย่อง เชิดชู เป็นครูศิลป์ของแผ่นดิน ครูช่างศิลปหัตถกรรม และทายาทช่างศิลปหัตถกรรม ให้การสนับสนุนเหล่าผู้สร้างสรรค์งานหัตถกรรมในทุกมิติ ครูจักรกริศษ์ สุขสวัสดิ์ ครูศิลป์ของแผ่นดิน ปี 2564 ของ SACIT ผู้สืบสานอนุรักษ์งานประดับมุก เปิดเผยว่า “งานประดับมุก” เป็นหนึ่งในมรดกทางวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่าเป็นงานที่ต้องอาศัยฝีมือและความประณีตบรรจง โดยการนำเปลือกหอยที่มีความแวววาว เช่น หอยมุกไฟ หรือหอยโข่งทะเล มาตัด เจียร ฉลุ และประดับลงบนชิ้นงาน โดยในอดีตเครื่องประดับมุกเป็นที่นิยมในหมู่ชนชั้นสูง และนิยมนำไปใช้ประดับตกแต่งหุ่นไม้ โต๊ะหมู่บูชา ซึ่งในปัจจุบันหอยมุกเป็นวัสดุที่หายากและมีราคาสูง ทำให้ต้องนำเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้าน อย่างไรก็ตาม ในประเทศไทยมีช่างรักที่ชำนาญเทคนิคไม่มากนัก จึงเป็นวาระสำคัญของทุกคนในการร่วมกันสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมไทยแขนงนี้ไว้ไม่ให้สูญหาย ขณะที่ อัจฉราภรณ์ กล่ำเกลื่อน ทายาทช่างศิลปหัตถกรรม ปี 2567 ของ SACIT ที่มีความเชี่ยวชาญในงานหัตถกรรม “ลงรักปิดทอง” และยังเป็นอาจารย์ประจำสาขาวิชาหัตถศิลป์ วิทยาลัยเพาะช่าง เปิดเผยว่า ได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรม “SACIT Academy” ที่ได้มีการเปิดอบรมสำหรับเทคนิคการสร้างสรรค์งานหัตถศิลป์เพื่อการศึกษา และการต่อยอด “งานเครื่องรัก” อันทรงคุณค่าประณีตวิจิตรในหลากมิติ และได้รับการอบรมพิเศษสำหรับเทคนิคการสร้างสรรค์ชิ้นงานที่มีความประณีต ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากในการนำไปประยุกต์ใช้กับหลักสูตรการเรียนการสอนประจำสาขาวิชาและรังสรรค์ออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ลงรักปิดทองที่มีความร่วมสมัย ที่สามารถใช้งานได้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งจะเป็นโอกาสที่ช่วยสืบสานองค์ความรู้ทักษะเชิงช่างในด้านงานลงรักปิดทองไม่ให้สูญหายไป อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่