สถานการณ์ความขัดแย้งในยูเครนยังคงเป็นประเด็นต่อเนื่องในแวดวงการเมืองโลก หลัง “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เปิดศึกทางวาจากับ “โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี” ประธานาธิบดียูเครนส่งสัญญาณว่ายูเครนควรมีผู้นำใหม่ เซเลนสกีเป็นประธานาธิบดีที่หมดวาระการดำรงตำแหน่งไปตั้งแต่เดือน พ.ค.2567 คะแนนนิยมตกต่ำอย่างมาก ถือเป็น “เผด็จการ” ที่ไม่ยอมจัดการเลือกตั้ง ขณะที่ประธานาธิบดียูเครนก็สวนกลับ ทรัมป์กำลังช่วยเหลือ “วลาดิเมียร์ ปูติน” ประธานาธิบดีรัสเซีย ผู้นำสหรัฐฯติดอยู่ในโลกข้อมูลข่าวสารที่ผิดๆของรัสเซีย และข้อเสนอของทรัมป์ที่อยากทวงเงินจากยูเครนด้วยการครอบครองแร่ธาตุหายาก ถือเป็นการสนทนาที่ไม่ควรเอามาถือเป็นจริงเป็นจังสงครามน้ำลายยังลุกลามไปถึงรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ “เจดี แวนซ์” ที่ออกมาปราม หากผู้นำยูเครนอยากให้สหรัฐฯเปลี่ยนใจ ก็อย่ามาปากกล้าผ่านสื่อสาธารณะ ทุกคนรู้ดีว่าวิธีเลวๆเช่นนี้ ไม่ใช่วิธีที่จะนำมาใช้เจรจาต่อรองกับรัฐบาลสหรัฐฯชุดนี้ ตามด้วย “อีลอน มัสก์” หนึ่งในทีมกุนซือของทรัมป์ กระโดดมาร่วมวงเขย่าทางแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ชาวยูเครนเกลียดเซเลนสกี นี่คือเหตุผลที่ผู้นำยูเครนปฏิเสธการจัดเลือกตั้งภาพเหตุการณ์ในอดีต เซเลนสกีได้รับการเชิดชูเกียรติขึ้นพูดในสภานานาชาติ เชิญไปออกเวทีการประชุมระหว่างประเทศ โฟนอินเปิดกิจกรรมทั่วโลก มาในวันนี้ถูกพี่ใหญ่ขยี้ไม่ให้ราคา เป็นนักแสดงตลกที่ประสบความสำเร็จนิดๆหน่อยๆ พร้อมตีตรากลางหน้าผากว่าเผด็จการ คำที่สหรัฐฯจะใช้เรียกผู้นำชาติที่กำลังไม่ลงรอยก่อให้เกิดคำถาม ทำไมสหรัฐฯถึงใช้ “คีย์เวิร์ด” แบบเดียวกับ “รัสเซีย” เพราะสิ่งที่เอ่ยมาทั้งหมดล้วนเป็นประเด็นที่รัสเซียเคยท้วงติง โดยเฉพาะเรื่องที่เซเลนสกีหมดวาระดำรงตำแหน่ง และไม่จัดการเลือกตั้งรูปการณ์ส่อเค้าให้คนสรุปกัน นี่คือสหรัฐฯ–รัสเซีย จูบปากกันแล้วหรือไม่ ทอดทิ้งให้ “สหภาพยุโรป” ยืนหยัดเคียงข้างยูเครนไปตามลำพัง ซึ่งบรรยากาศก็ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น เพราะท่ามกลางกระแสมึนตึงระหว่างสหรัฐฯ-ยูเครน ก็มีท่าทีจากชาติยุโรปแสดงบทบาทร่วมผนึกกำลัง เริ่มจากกลุ่มรัฐมนตรีต่างประเทศอียูจัดประชุมกันที่กรุงปารีส ฝรั่งเศส ประกาศจุดยืนว่า การเจรจาหย่าศึกใดๆเป็นไปไม่ได้ที่จะ “ไม่มีพวกเรา” ต่อเนื่องมายังประชุมความมั่นคงที่นครมิวนิก เยอรมนี ที่ยุโรปพยายามชูจุดยืนเตือนสติ “พันธมิตร” ฝั่งตรงข้ามมหาสมุทร แอตแลนติก ถึงความเสี่ยงที่จะตามมาหากสหรัฐฯตัดสินใจทอดทิ้งยุโรป พร้อมเดินแผนการคู่ขนาน การส่งกองกำลังรักษาความสงบเข้าไปในยูเครน หากคู่ขัดแย้งสามารถบรรลุข้อตกลงหยุดยิงในอนาคต รัฐบาลอังกฤษมองความเป็นไปได้ หน่วยรบของชาติใดจะดูแลส่วนไหนของยูเครน ใครดูแลบก ดูแลอากาศ ขณะที่ “เซอร์เคียร์สตาร์เมอร์” นายกรัฐมนตรีอังกฤษ “โอลาฟ โชลซ์” นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ออกร้องเพลงคู่ดักคอวาทะเผด็จการของผู้นำสหรัฐฯว่า เซเลนสกีเป็นผู้นำยูเครนที่มาจากการเลือกตั้งอย่างชอบธรรม การปฏิเสธความชอบธรรมของผู้นำยูเครนถือเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องและเป็นอันตรายอย่างไรก็ตาม ถึงบรรยากาศทั้งหมดนี้จะดูเหมือนว่าสหรัฐฯได้กระโดดไปกอดคอสร้าง “สันติภาพ” กับรัสเซียเป็นที่เรียบร้อย ขณะที่ยุโรปกลายเป็นถูกมองว่ายังคง “กระหายสงคราม” ดื้อดึงที่จะล่มหัวจมท้ายไปกับยูเครน เนื่องจากมองว่ารัสเซียคือภัยคุกคามอันใหญ่หลวงต่อทวีป แต่หากมองในมุม “การเมือง” แล้ว สิ่งเหล่านี้ก็สามารถกลายเป็นภาพลวงตา สิ่งที่เห็นอาจไม่ใช่สิ่งที่เป็นเพราะเอาเข้าจริงแล้ว สหรัฐฯไม่มีทางที่จะปล่อยมือจากยุโรป เนื่องด้วยอิทธิพลของสหรัฐฯได้ฝังรากลึกในยุโรปมาตั้งแต่สิ้นสุดยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 และสงครามเย็น ชนิดที่ว่าไม่มีภูมิภาคอื่นในโลกจะเทียมเท่า ยุโรปถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญยิ่งทางความมั่นคง มีอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ มีฐานทัพสหรัฐฯปักหลักอยู่ในประเทศต่างๆ ไม่รวมถึงหน่วยงานที่ใช้ขับเคลื่อนกองทัพยุโรปอย่างองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO)ขณะที่ยุโรปเอง จำเป็นต้องมีสหรัฐฯ สนับสนุนทางด้านเศรษฐกิจ การเงิน และความมั่นคง ยุโรปสามารถเซฟงบทหารไปได้มากมายจากการคงอยู่ของกองทัพสหรัฐฯ พร้อมรับรู้ดีว่าการทำให้อเมริกันโกรธไม่ใช่เรื่องดี ผลกระทบทางผลประโยชน์ระหว่างประเทศเคยเกิดขึ้นมาแล้ว จากจุดยืนไม่เห็นด้วยกับสงครามอิรักในปี 2546 นอกจากนี้ นักการเมืองในยุโรปยังมีโอกาสที่จะต่อยอดอาชีพการงานในองค์กรระหว่างประเทศหรือเอกชนอันทรงอิทธิพลของสหรัฐฯ หลังสิ้นสุดอาชีพทางการเมือง หมดวาระการดำรงตำแหน่งด้วยเช่นกันและแน่นอนว่ารัฐบาลรัสเซียย่อมเข้าใจอย่างถ่องแท้ในจุดนี้ ไม่ได้แสดงอาการกระโตกกระตากอันใดกับ “บรรยากาศ” ที่กำลังเป็นไป แม้จะออกมารับลูกบ้างเรื่องวิจารณ์เซเลนสกี อย่างที่ “เซอร์เก ลาฟรอฟ” รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย ให้ความเห็นว่า เรามีความยินดีที่สหรัฐฯมีความตั้งใจรับฟังข้อวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ความมั่นคงที่กำลังเป็นไป แนวคิดของรัสเซียในการเจรจาไม่ว่าจะกับใครก็ตาม คือการมองว่าที่ผ่านมาคนผู้นั้นหรือประเทศนั้นๆมีประวัติที่ผ่านมาเช่นไรด้วยเหตุนี้อาจเป็นเรื่องไม่ถูกต้องนักที่จะตีความไปว่า “ทรัมป์โปรรัสเซีย” และเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ไม่ว่าจะเป็นการกร่นด่าผู้นำยูเครน การทำเป็นมองไม่เห็นหัวผู้นำยุโรป ย่อมเป็นไปได้ว่าคือกลยุทธ์ปูทาง เพื่อสร้างแต้มต่อรองในการเจรจากับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน.วีรพจน์ อินทรพันธ์คลิกอ่านคอลัมน์ “7 วันรอบโลก” เพิ่มเติม