ทรัมป์ไม่ชอบ DoE หรือ Department of Education หรือกระทรวงศึกษาธิการของสหรัฐฯ ห้วงที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งแรกเมื่อ ค.ศ.2017-2021 ทรัมป์พูดหลายครั้งว่า อ้า ข้าฯจะต้องลดบทบาทของกระทรวงศึกษาธิการของรัฐบาลกลาง และให้ภาระนี้ไปอยู่ที่รัฐบาลท้องถิ่นบุคคลในอดีตที่ทรัมป์ต่อต้านอย่างมากก็คือนายไคลบอร์น เพลล์ อดีตวุฒิสมาชิกสหรัฐฯจากรัฐโรดไอส์แลนด์ (1961-1997) ท่านผู้นี้มาจากพรรคเดโมแครตและเป็นพวกเห็นใจคนจนค.ศ.1972 สมาชิกวุฒิสภาเพลล์สร้างนโยบายช่วยเหลือนักศึกษาจากครอบครัวยากจนให้ได้เรียนหนังสือชั้นปริญญาตรี (ปริญญาโทและเอกไม่เกี่ยว) คนอเมริกันเรียกเงินช่วยเหลือทางการศึกษาของรัฐบาลกลางที่ให้นักศึกษายากจนระดับปริญญาตรีว่า Pell Grant ซึ่งเป็นเงินให้เปล่า ไม่เหมือนกับ Student Loans ซึ่งเป็นเงินกู้เพื่อการศึกษาที่ต้องจ่ายคืน เงินที่นักศึกษายากจนได้รับก็ตกประมาณปีละ 5-7 พันดอลลาร์สหรัฐฯ (ค.ศ.2023-2024 ในยุคของไบเดน วงเงินสูงสุดของ Pell Grants คือ 7,395 ดอลลาร์สหรัฐฯ)Pell Grants เป็นหนามตำใจทรัมป์ แกประกาศเรื่องนี้ ในเวทีหาเสียงเมื่อ ค.ศ.2016 ว่านอกจากจะต้องหยุด Pell Grants ให้ได้แล้ว ยังจะต้องปิดกระทรวงศึกษาธิการ ทว่าในช่วงที่เป็นประธานาธิบดีสมัยแรกแล้ว ทรัมป์ทำตามที่หาเสียงไว้ไม่ได้ เพราะโดนค้านจากสภาคองเกรส และสมาคมครู NEA และ AFTเรื่องการศึกษา ทรัมป์ชอบนโยบายของนักธุรกิจหญิงคนหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า นางเอลิซาเบธ ดีวอส (ภรรยานาย ดิค ดีวอส มหาเศรษฐีบริษัทแอมเวย์) นางดีวอสมาจากครอบครัวมหาเศรษฐี แกสนับสนุนโรงเรียนเอกชนมากกว่าโรงเรียนรัฐ ทรัมป์ชอบนโยบายเธอมากถึงขนาดติดต่อขอตั้งเธอเป็น U.S. Secretary of Education หรือรัฐมนตรีศึกษาธิการ ตอนที่แกเป็นประธานาธิบดีสมัยแรกนางดีวอสสนับสนุนนโยบาย School Choice หรือทางเลือกในการศึกษาที่ให้ผู้ปกครองส่งบุตรหลานไปเข้าโรงเรียนเอกชน โดยรัฐบาลใช้เงินภาษีช่วยอุดหนุนโรงเรียน ตอนที่จะลงมติแต่งตั้งนางดีวอสเป็นรัฐมนตรี สมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯยกมือให้แก 50 ต่อ 5 ทำให้นายไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีที่มานั่งเป็นประธานวุฒิสภาโดยตำแหน่ง (ex officio President of Senate) ต้องออกเสียงชี้ขาดเพื่อช่วยนางดีวอสอีก 1 เสียง เธอจึงได้เป็นรัฐมนตรีเมื่อได้เป็นรัฐมนตรีศึกษาธิการแล้ว นางดีวอสก็เดินหน้านโยบาย School Choice โดยออกบัตรกำนัลการศึกษาที่เรียกว่า Voucher Program ที่ให้ผู้ปกครองใช้เงินภาษีของรัฐเข้าไปเรียนที่โรงเรียนเอกชนหรือโรงเรียนศาสนาแทนโรงเรียนรัฐ ตอนนั้น พวกสมาคมครูออกมาต่อต้านกันทั้งประเทศ เพราะมองว่าสร้างความเหลื่อมล้ำ ไปหนุนแต่โรงเรียนเอกชน ทำให้โรงเรียนของรัฐตกต่ำบางรัฐถึงขนาดออกกฎหมายห้ามใช้บัตรกำนัลการศึกษา ทรัมป์เองก็ดิ้นรนสุดขีด เสนอให้จัดงบประมาณเพื่อสนับสนุน School Choice แต่สภาคองเกรสไม่อนุมัติ ค.ศ.2020 ทรัมป์เสนอแผน Education Freedom Scholarship ให้ผู้ปกครองใช้เงินของรัฐไปเข้าโรงเรียนเอกชน สภาคองเกรสก็ไม่อนุมัติอีกนางดีวอสเป็นมหาเศรษฐีที่ในสมองคิดแต่เรื่องกำไร-ขาดทุน อะไรที่ไม่มีประโยชน์เป็นตัวเงินแกไม่เอา แกลดแม้แต่งบประมาณของโครงการคุ้มครองนักเรียนพิการและโครงการป้องกันการล่วงละเมิดทางเพศในโรงเรียนหลังจากได้กลับมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯอีกครั้ง ทรัมป์ ประกาศเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2025 ว่ากระทรวงศึกษาธิการสหรัฐฯเป็นแหล่งรวมเรื่องหลอกลวงและต้องยุบกระทรวงศึกษาธิการทันทีเอาละโว้ย ทุนนิยมจ๋ามาแล้วโว้ย ไม่มีกระทรวงศึกษาธิการ ก็ไม่มีใครไปกำกับดูแลและกำหนดมาตรฐานการศึกษาที่เป็นเอกภาพ แต่ละรัฐควบคุมกันเองสิ่งที่จะเกิดขึ้นปึงปังดังระฆังแตกก็คือ ความรุ่งเรืองเฟื่องฟุ้งของโรงเรียนเอกชนต่อไปในอนาคต พ่อแม่ชาวอเมริกันที่อยากให้ลูกหลานมีการศึกษาที่ได้มาตรฐานก็ต้องดิ้นรนขวนขวายหาเงินให้ลูกหลานไปอยู่โรงเรียนเอกชนที่มีเงินจ้างบุคลากรคุณภาพมาทำงาน ครูโรงเรียนของรัฐก็อาจจะอยู่ที่เดิมกันไม่ค่อยไหว เพราะไม่มีเงินหนุนมาจากรัฐบาลกลาง ก็อาจจะต้องลาออกและไปอยู่โรงเรียนเอกชนแทนยุคเฟื่องฟูของนักการเมืองสหรัฐฯสายธุรกิจมาถึงแล้วทุนนิยมก็เป็นเช่นนี้เอง.นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัยsonglok1997@gmail.comคลิกอ่านคอลัมน์ “เปิดฟ้าส่องโลก” เพิ่มเติม