จะเรียกว่าเป็นสัปดาห์แห่งฝันร้ายของยูเครนก็ว่าได้ หลังลูกพี่ใหญ่ “สหรัฐอเมริกา” ภายใต้การนำของประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” แสดงความชัดเจนที่จะเดินหน้าจบสงครามไม่มีอีกแล้วสำหรับคำว่า “ยืนหยัดเคียงข้างยูเครนตราบนานเท่านาน” หรือ “รัสเซียจะต้องปราชัย” ทุกอย่างถูกเปลี่ยนเป็น “การฆ่าฟันจะต้องยุติอย่างรวดเร็ว” รัสเซีย-ยูเครน จะหวนคืนสู่โต๊ะเจรจาหย่าศึกโดยกรณีนี้ รัฐบาลสหรัฐฯส่ง “พีต เฮกเซธ” รมว.กลาโหมคนใหม่ ไปกล่อมองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) และชาติสหภาพยุโรปให้เตรียมทำใจ ก่อนที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะย้ำหัวตะปู ด้วยการยกหูหารือกับ “วลาดิเมียร์ ปูติน” ประธานาธิบดีรัสเซีย ข้อความจากเพนตากอนและทำเนียบขาวออกไปในทางเดียวกัน สหรัฐฯกำลังเดินหน้าสร้างสันติภาพ ซึ่งย่อมหมายถึงสหรัฐฯ-รัสเซียจะต้องกลับมาคุยกัน การเจรจาระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่นครมิวนิกของเยอรมนี ก่อนที่การประชุมระดับผู้นำประเทศอาจนัดกันครึ่งทางที่ซาอุดีอาระเบียภายในอนาคตอันใกล้ส่วนตัวแทนฝ่ายยูเครนนั้น...ก็ไม่น่าที่จะมาเข้าร่วมการประชุมระหว่างสหรัฐฯ–รัสเซีย และประธานาธิบดีสหรัฐฯก็ไม่ขอเดินทางไปยังกรุงเคียฟของยูเครน “ทรัมป์” ยังประกาศจุดยืนต่อการอ้าแขนรับยูเครนเข้าเป็นสมาชิก “องค์การนาโต” เป็นเรื่องยากที่จะทำได้จริง การเข้าร่วมนาโตของยูเครนถือเป็น “เส้นแดง” ที่รัสเซียขีดไว้ว่าไม่ควรข้าม ประธานาธิบดีปูตินพูดมาตลอดหลายต่อหลายปีว่ารัสเซียจะไม่มีวันปล่อยให้ยูเครนเข้าเป็นนาโต ซึ่งผมก็โอเคในเรื่องนี้ส่วนประเด็นที่รัฐบาลยูเครนประกาศมาตลอด “จะทวงดินแดนที่สูญเสียไปกลับคืนมา” เรื่องนี้สหรัฐฯมองแล้วว่า เป็นไปได้ยากมาก ตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมากองทัพรัสเซียชิงดินแดนไปได้เยอะมาก ทำการสู้รบอย่างหนักหน่วง เสียทหารไปเป็นจำนวนมากเพื่อให้ได้ดินแดนเหล่านั้นมาครอบครองแต่ก็ไม่แน่ว่ารัฐบาลยูเครนอาจได้ดินแดนกลับมาบ้าง ดินแดนบางส่วนอาจจะกลับมาขณะที่รัฐมนตรีเฮกเซธยังเก็บรวบประเด็นไม่ให้ตกหล่น ย้ำบัญชาของทรัมป์ให้มีความชัดเจนว่า แม้เราจะสนับสนุนอธิปไตยของยูเครน แต่ต้องยอมรับสภาพความเป็นจริงว่า การจะทำให้พรมแดนของยูเครนกลับไปเป็นช่วงก่อนปี 2557 ถือเป็นเป้าหมายที่ไม่อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง การไล่ตามเป้าหมายอันเพ้อฝันนี้จะยิ่งทำให้สงครามยืดเยื้อต่อไป เกิดความทุกเข็ญมากยิ่งขึ้นการจะทำให้ยูเครนมีสันติภาพอย่างยั่งยืน ต้องรวมถึงการหาหลักประกันที่ทำให้มั่นใจว่าสงครามจะไม่เกิดขึ้นอีกครั้ง ข้อตกลงจะต้องไม่เหมือนกับคราว “ข้อตกลงมินสก์” (ที่ทำขึ้นเพื่อซื้อเวลา สะสมอาวุธไว้รบกับรัสเซีย) ด้วยเหตุนี้รัฐบาลสหรัฐฯจึงไม่เชื่อเรื่องการรับยูเครนเข้าเป็นสมาชิกองค์การนาโตหลักประกันความมั่นคงสำหรับยูเครนจะต้องดำเนินการโดยกำลังทหารของยุโรปและชาติอื่นๆ และจะเป็นการสมควรมากกว่า หากการส่งกำลังเข้าไปรักษาสันติภาพในยูเครน ใดๆจะดำเนินการภายใต้ชื่ออื่น ไม่ใช่ในนามขององค์การนาโต และต้องไม่ได้รับการคุ้มครองภายใต้มาตรา 5 ของนาโต (หากสมาชิกถูกโจมตีจะถือว่าสมาชิกทั้งหมดถูกโจมตี) อีกทั้งทหารสหรัฐฯจะไม่เข้ามายุ่ง จะไม่มีการส่งทหารอเมริกันไปยังยูเครนโดยเด็ดขาดนอกจากนี้ ยุโรปจำเป็นต้องเพิ่มงบประมาณความมั่นคงเพื่อปกป้องตัวเอง สัดส่วน 2% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) อาจจะไม่เพียงพอ ประธานาธิบดีทรัมป์มองไว้ที่ 5% และสำหรับสหรัฐฯนั้นกำลังเผชิญภัยคุกคามทางพรมแดน และจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากกว่ายุโรปข้อมูลทั้งหมดข้างต้นสรุปได้ใช่หรือไม่ว่า 1.สหรัฐฯจะคุยกับรัสเซียให้เรียบร้อย ยูเครนไม่ต้องเข้ามายุ่งเกี่ยว 2.ยูเครนจะไม่มีทางได้ดินแดนกลับคืนมา 3.ยูเครนจะไม่มีทางเข้าเป็นสมาชิกองค์การนาโต 4.จะไม่มีการทำข้อตกลงเพื่อถ่วงเวลาให้ยูเครนสะสมกำลังและอาวุธอีก 5.หากยุโรปอยากจะดูแลยูเครน จะต้องไม่ทำในนามของนาโต 6.หากต้องการส่งทหารเข้าไปในยูเครน ห้ามใช้นาโตคุ้มกะลาหัว 7.ยุโรปจะต้องดูแลตัวเอง เพิ่มงบป้องกันตนเอง เพราะสหรัฐฯไม่มีเวลามาดูแลในตอนนี้จนกลายเป็นคำถาม แล้วประธานาธิบดี “โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี” ของยูเครน จะทำเช่นไร ตอนนี้ถึงจะหวังพึ่งชาติตะวันตกต่อไป ได้ (จนกว่าจะมีการเจรจา?) แต่สถานการณ์ในสนามรบก็ใช่จะได้เปรียบ ยังคงถูกกองทัพรัสเซียรุกกินแดนไปอย่างช้าๆ โดยเฉพาะในจังหวัดโดเนตสก์ ภูมิภาคดอนบาสหากวันหนึ่งไม่มีชาติตะวันตกมาคอยชี้เป้าในสนามรบด้วยดาวเทียม อาวุธไม่ถูกส่งมาเหมือนเคย แล้วจะเอาอยู่หรือเปล่า? หากจะหันหน้าสู่กระบวนการเจรจา คำตอบ ก็ชัดเจนว่า คนเสียเปรียบย่อมไม่มีพลัง ยากที่จะกำหนดเงื่อนไขอะไรได้ และไม่แปลกที่รัฐบาลสหรัฐฯเลือกตัดสินใจที่จะ “ดีลตรง” กับรัฐบาลรัสเซียนี่ยังไม่รวมถึงเส้นทางสู่การ “ขายแผ่นดินยูเครน” จากกรณีถูกทรัมป์ทวงเงิน อ้างว่า 3 ปีที่ผ่านมาให้ยูเครนไปกว่า 350,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 11.9 ล้านล้าน บาท (ตอนแรกบอกให้ไป 200,000 ล้าน ดอลลาร์ สงสัยปั่นตัวเลข?) ดังนั้นจะขอเอาคืนด้วยทรัพยากรธรรมชาติ “แร่หายาก” ในมูลค่า 500,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 17 ล้านล้านบาทหนทางข้างหน้าของผู้นำยูเครนดูเหมือนจะเริ่ม “ตีบตัน” ไม่เหลือใครให้พึ่งพิง.วีรพจน์ อินทรพันธ์คลิกอ่านคอลัมน์ “7 วันรอบโลก” เพิ่มเติม