วันนี้เป็น “วันมาฆบูชา” วันสำคัญอีกวันหนึ่งของพวกเราชาวพุทธศาสนิกชน เป็นวันที่ พระพุทธเจ้า ทรงแสดง “โอวาทปาติโมกข์” ท่ามกลางที่ประชุมมหาสังฆสันนิบาตครั้งใหญ่ในพระพุทธศาสนา โดยมีเหตุการณ์สำคัญ 4 อย่างเกิดขึ้นในวันนี้คือ 1.พระภิกษุ 1,250 รูป มาร่วมประชุมโดยมิได้นัดหมาย 2.พระภิกษุทั้งหมดเป็น “เอหิภิกขุอุปสัมปทา” พระสงฆ์ที่ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง 3.พระภิกษุทั้งหมดล้วนเป็น “พระอรหันต์” ผู้ทรงอภิญญา 6 และ 4.วันดังกล่าวตรงกับ วันเพ็ญ เดือน 3 จึงเรียกวันนี้อีกอย่างหนึ่งว่า “วันจาตุรงคสันนิบาต” วันที่มีการประชุมพร้อมด้วยองค์ 4การแสดง “โอวาทปาติโมกข์” ครั้งนี้ถือเป็นการประกาศพันธกิจของพระพุทธศาสนาให้กับพระสงฆ์สาวกเป็นครั้งแรก ช่วง 20 พรรษาแรก พระพุทธเจ้า ทรงแสดง “โอวาทปาติโมกข์” ด้วยพระองค์เอง ต่อมามีพระภิกษุสงฆ์มากขึ้น จึงทรงบัญญัติพระวินัยเพื่อใช้ในการปกครองสงฆ์ ทรงกำหนดให้มี “ภิกขุปาติโมกข์” ขึ้นมาแทน “โอวาทปาติโมกข์” ประกอบด้วย 3 คาถาหลักคือพระพุทธพจน์คาถาแรก ถือเป็น “หัวใจของพระพุทธศาสนา” มี 3 ประการ เป็นการสรุปรวบยอดหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาที่พุทธบริษัทพึงปฏิบัติ ได้แก่ การไม่ทำชั่วทั้งปวง การทำความดีให้ถึงพร้อม และ การทำจิตใจให้บริสุทธิ์พระพุทธพจน์คาถาที่สอง ทรงกล่าวถึง “อุดมการณ์อันสูงสุด” ของพระภิกษุและบรรพชิตในพระพุทธศาสนา ซึ่งมีลักษณะที่แตกต่างจากศาสนาอื่น เรียกว่า “อุดมการณ์ 4” ของพระพุทธศาสนา อันได้แก่ ขันติ นิพพาน อหิงสา สันติขันติ–ความอดทนอดกลั้น เป็นสิ่งที่นักบวชในศาสนานี้พึงยึดถือ เป็นสิ่งที่ต้องใช้เมื่อประสบกับสิ่งที่ไม่ชอบใจทุกอย่าง เช่น ประสงค์ร้อนได้เย็น ประสงค์เย็นได้ร้อนนิพพาน การมุ่งให้ถึงพระนิพพาน ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของผู้ออกบวชอหิงสา การไม่เบียดเบียนผู้อื่น พระภิกษุและบรรพชิตในพระธรรม วินัยนี้ จะไม่เบียดเบียนทำให้ผู้อื่นลำบาก ทำให้เกิดความทุกข์กายทุกข์ใจ ไม่ว่าในกรณีใดๆสันติ เป็นผู้มีจิตใจสงบจากอกุศลวิตกทั้งหลาย เช่น ความโลภ โกรธ หลง เป็นต้นพระพุทธพจน์คาถาที่สาม เป็นวิธีการเผยแผ่พระพุทธศาสนา 6 ประการที่ธรรมทูตผู้เผยแผ่พระพุทธศาสนาถือเป็นกลยุทธ์ พระภิกษุที่ออกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้ใช้วิธีเดียวกันหมด เพื่อให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน1.การไม่กล่าวร้าย (เผยแผ่ศาสนาด้วยการไม่กล่าวร้ายโจมตี ความเชื่อของผู้อื่น)2.การไม่ทำร้าย (เผยแผ่ศาสนาด้วยการไม่ใช้กำลังบังคับข่มขู่ด้วยวิธีการต่างๆ)3.ความสำรวมในปาติโมกข์ (รักษาความประพฤติให้น่าเลื่อมใส)4.รู้จักประมาณในการบริโภค (เสพปัจจัยสี่อย่างรู้ประมาณพอเพียง)5.นั่งนอนในที่อันสงัด (สันโดษไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ)6.ความเพียรในอธิจิต (พัฒนาจิตใจให้ยิ่งด้วยสมถะและวิปัสสนาเสมอ)การศึกษาพระพุทธศาสนา สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตโต) กล่าวว่า ปกติจะจัดเป็น ไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา สำหรับคฤหัสถ์พระพุทธองค์จะจัดเป็น บุญสิกขา คือ ทาน ศีล ภาวนา บางครั้งก็ในรูปอื่น แต่รูปหนึ่งที่ท่านชอบมากก็คือ ตรัสเป็น ภาวนา 4 คือ แยกสิกขาในรูปภาวนา 4 ภาวนาแปลว่าการฝึกฝนหรือฝึกอบรมภาวนา 4 ประกอบด้วย กายภาวนา การฝึกอบรมกาย ศีลภาวนา การฝึกอบรมศีล จิตตภาวนา การฝึกอบรมจิต ปัญญา ภาวนา การฝึกอบรมปัญญาภาวนา 4 จะนำไปสู่ “อิสรภาพ 4 ด้าน” คือ 1.อิสรภาพทางกาย เช่น มีปัจจัย 4 อย่าง พอเพียงที่จะเป็นอยู่ มีสุขภาพร่างกายดี 2.อิสรภาพทางสังคม ไม่เบียดเบียนเอารัดเอาเปรียบกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน 3.อิสรภาพทางจิต ทำให้สุขภาพจิตดี มีจิตใจดีงาม หลุดพ้นจากความหมกมุ่นมัวเมา 4.อิสรภาพทางปัญญา เมื่อฝึกอบรมปัญญาให้ถึงความหลุดพ้นจากกิเลสที่ครอบงำจิตใจแล้ว เราก็จะแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้อง ไม่เป็นโทษแก่ตนเองและผู้อื่น หลุดพ้นจากความทุกข์ได้อย่างแท้จริง.“ลม เปลี่ยนทิศ”คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม