“ดินแดนสีเทา”...แหล่งอาชญากรรมชายแดนตะวันตกของไทย ยังคงขยายตัวอยู่เรื่อยๆพวกเขาคิดล่วงหน้าไปก่อนก้าวหนึ่งเสมอ ขณะที่รัฐบาลไทยและเทศกำลังมะรุมมะตุ้มอยู่ที่เมียวดีพวกเขาก็เลื้อยลงใต้...สร้างแหล่งอาชญากรรมแหล่งใหม่...ทั้งชายแดนเมืองกาญจน์–ราชบุรี–ประจวบฯ ไว้รองรับหมดแล้วภาสกร จำลองราช “สำนักข่าวชายขอบ” www.transbor dernews.in.th บอกอีกว่า พวกเขาจะทำการก่อสร้างอาคารมากมาย สิ่งอำนายความสะดวกต่างๆไม่ได้เลยหากไม่พึ่งพาฝั่งไทย“ส่วย” จึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลไทยต้องตัดวงจรให้ได้ก่อน?รัฐไทยพลาดพลั้งมาแล้วเมื่อราว 30 ปีก่อนที่ปล่อยให้ชายแดนภาคเหนือด้านจังหวัดเชียงราย-เชียงใหม่-แม่ฮ่องสอนเปลี่ยนมือจาก “ไทใหญ่” เป็น “ว้า”...ว้าใช้แผ่นดินไทยเป็นแหล่งส่งยาเสพติด ทั้งประชาชนเสพเองและทางผ่าน ทำให้ “กองทัพว้า” ขยายตัวใหญ่โตจาก “เงินยาเสพติด”“สังคมไทย” กลายเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วย “ยาเสพติด”...จับกันได้ทีละหลายล้านเม็ดการที่ “รัฐไทย” ปล่อยให้ “กองกำลังกะเหรี่ยงเทา” เสวยผลประโยชน์อยู่ชายแดนตะวันตก โดยมีแผ่นดินไทยเป็นระเบียงอาชญากรรมและแหล่งฟอกเงิน รายได้มหาศาลถูกนำไปซื้ออาวุธจ้างชาวบ้านมาเป็นทหารทำให้มีแสนยานุภาพของกองกำลังกะเหรี่ยงเทาเพิ่มขึ้นทุกวัน?เมื่อ...“ริมแม่น้ำเมย” เมืองเมียวดีถูกเล่นงานหนักพวกเขาก็เลื้อยลงใต้ ยักย้ายถ่ายเทไปหากินในพื้นที่ใหม่ที่ไม่ถูกรบกวนระบบ “ส่วย” ระหว่างแผ่นดินไทยกับพื้นที่ชายแดนได้เชื่อมต่อจนทำให้มาเฟียจีนและกองกำลังเทาติดอาวุธประสบผลสำเร็จด้วยดีต่อเนื่อง ถ้าฝ่ายความมั่นคงของไทยยังทำงาน “หน่อมแน้ม” เช่นวันนี้ไปเรื่อยๆขณะที่ฝ่ายการเมืองที่กุมนโยบายก็เห็นแต่ประโยชน์ของตัวและพรรคมากกว่าความสุขสงบของสังคมไทย...เราจะอยู่กันอย่างไร? บ้านเมืองที่เต็มไปด้วยพนันออนไลน์และบ่อนต่างๆ พลเมืองที่หมกมุ่นพัวพันอยู่กับยาเสพติด...เป็นเรื่องน่าเศร้าจริงของบ้านเมือง หากยังจำกันได้...ผลสะเทือนจากกรณี “ซิงซิง” หรือนายหวัง ซิง (Wang Xing) ดาราชาวจีนที่ถูกหลอกมายังประเทศไทยและถูกพาข้ามไปยังแหล่งอาชญากรรมฝั่งเมืองเมียวดี ประเทศพม่า แม้ได้รับความช่วยเหลือในเวลาอันรวดเร็ว แต่ได้ทำให้ปัญหาที่เป็นดังบาดแผลที่เน่าเฟะถูกเปิดกว้าง...ส่งกลิ่นเน่าเหม็นไปทั่วโลกเพราะกลายเป็นประเด็นที่ส่งผลกระทบลึกซึ้ง โดยเฉพาะความเชื่อมั่นถึงความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาในประเทศไทย ขณะที่ นายหวังอี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีนได้แสดงบทพี่ใหญ่ชวนประเทศในภูมิภาคนี้จัดการกับเหล่าอาชญากรและมาเฟียข้ามชาติเหล่านี้อย่างจริงจัง...กองกำลังกะเหรี่ยง BGF มีเขตอิทธิพลตั้งแต่ริมแม่น้ำเมย ติดกับชายแดนไทยตรงข้ามกับอำเภอแม่สอด จ.ตาก ลึกเข้าถึงตัวเมืองเมียวดี โดยแหล่งธุรกิจสีเทาดำที่มีชื่อเสียงคือชเวโก๊กโก่ และเคเคปาร์ค แต่ก็ยังมีแหล่งอาชญากรรมอื่นตั้งอยู่กระจัดกระจายอยู่ในพื้นที่อีกนับสิบแห่งขณะที่พื้นที่ตอนใต้ของ BGF คืออาณาจักรของ DKBA (Democratic Karen Buddhist Army-กะเหรี่ยงพุทธประชาธิปไตย) ที่รู้จักดีในชื่อ “ช่องแคบ” หรือเขตไท่ฉาง ตรงข้ามกับบ้านช่องแคบ อ.พบพระ จ.ตาก ภายใต้การควบคุมของพลจัตวา ไซ จ่อหล้า หรือ “โกไซ”ประเทศไทยเปรียบเสมือน gateway คือประตู หรือระเบียงหน้าสู่แหล่งอาชญากรรมริมแม่น้ำเมย ส่วนด้านหลังที่เป็นป่าเขาและเรือกสวนไร่นาซึ่งเป็นอาณาเขตของกองกำลังกะเหรี่ยง KNU (Karen National Union-สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง) ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่คือสนามรบกับกองทัพทหารพม่าอย่างต่อเนื่องโดยมี PDF (People’s Defense Force-กองกำลังพิทักษ์ประชาชน ที่เกิดขึ้นหลังรัฐประหารในพม่าเมื่อปี 2564) เป็นแนวร่วม ซึ่งขณะนี้สถานการณ์การสู้รบรุนแรงขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะในพื้นที่กอกะเร็ก ซึ่งรัฐบาลทหารพม่าต้องการยึดคืนถนนหลวงเอเชียไฮเวย์ AH1 ที่ถูก KNU ยึดไว้นานนับปี“แผ่นดินไทย” จึงกลายเป็นระเบียงสารพัดประโยชน์ให้กับกองกำลังกะเหรี่ยง BGF DKBA และ KNU มายาวนาน ขึ้นอยู่กับว่าใคร...จะใช้ประโยชน์อะไร? เพื่อใคร? “กลุ่มอาชญากรข้ามชาติ” ใช้พื้นที่ประเทศไทยเป็นเส้นทางประกอบธุรกิจดำ ซึ่งทั้งหมดเป็นพื้นที่ที่อยู่ในความควบคุมของ BGF และ DKBA จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่กองกำลังกะเหรี่ยงทั้ง 2 กลุ่มนี้ถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติไปด้วย เพราะมีรายได้มหาศาลในการให้เช่าพื้นที่และ...ดูแลความปลอดภัยให้ “ธุรกิจสีดำ” ของ “มาเฟียจีน”วันนี้สถานการณ์ทั่วโลกกดดันให้ทลายแหล่งอาชญากรรมที่กักขังเหยื่อต่างชาตินับหมื่นซึ่งถูกบังคับให้ทำงานสแกมเมอร์และคอลเซ็นเตอร์ โดยทางการจีนได้แสดงท่าทีจริงจังพร้อมเข้าดำเนินการปราบปรามขณะที่ “รัฐบาลไทย” ยังมีท่าทีที่มีไม่ชัดเจนนัก เพียงแค่ให้ผู้ปกครองระดับจังหวัดและสำนักงานตำรวจแห่งชาติเข้ามาดำเนินการ ทั้งๆที่กรณีที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องใหญ่เพราะการปราบปรามแหล่งอาชญากรรมที่มีรายได้นับแสนล้านบาทนี้ ต้องใช้ “สรรพกำลัง” และ “พลังมหาศาล”บางประเด็นเป็นเรื่องระหว่าง “รัฐ” ต่อ “รัฐ” หรือระหว่าง “รัฐ” ต่อ “กลุ่มกองกำลัง” จริงๆแล้ว หากรัฐบาลไทยจะใช้วิธีการเด็ดขาดกับ 2 กองกำลังกะเหรี่ยงเทาดำก็คงทำได้ไม่ยาก เพียงตัดท่อลำเลียงการเชื่อมต่อธุรกรรมต่างๆรวมทั้งเข้มงวดในการข้ามแดน จับกุมคนที่กระทำผิด พร้อมประกาศให้ชัดเจนว่าไม่ร่วมสังฆกรรม ถึงเวลา?...ที่ “รัฐบาล” ควรเลือกเพื่อนบ้านที่ดี ไม่ใช่ปล่อยให้นักค้ายาและเหล่าอาชญากรรมมาเกาะขอบรั้วแล้วบอกว่า “ไม่ใช่เรื่องของเรา”.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม