ศาลอาญาคดีทุจริตฯจำคุก “พิรงรอง” 2 ปี กระทำผิด 157 กลั่นแกล้งบริษัททรู ดิจิทัล กรุ๊ป ให้ได้รับความเสียหาย ปมส่งหนังสือแจ้งว่า แอปฯทรู ไอดีต้องขออนุญาตจาก กสทช. ในการเผยแพร่รายการโทรทัศน์ ทั้งที่ไม่มีกฎหมายบังคับแอปพลิเคชันที่โหลดผ่านอินเตอร์เน็ตในลักษณะ OTT ล่าสุดศาลให้ประกันตัววงเงิน 1.2 แสนบาทศาลสั่งจำคุก “พิรงรอง” 2 ปี กระทำผิด 157 กลั่นแกล้งบริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป โดยเมื่อเวลา 09.40น. วันที่ 6 ก.พ. ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ศาลอ่านคำพิพากษาคดีที่บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด เป็นโจทก์ฟ้อง น.ส.พิรงรอง รามสูต กรรมการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)เป็นจำเลย ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 กรณีจำเลยออกหนังสือแจ้งบริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป ในฐานะผู้ให้บริการแอปฯทรู ไอดีได้นำสัญญาณมาถ่ายทอดในแพลตฟอร์มแอปฯทรู ไอดีของตนเอง ต่อมาคณะอนุกรรมการพิจารณาอนุญาตด้านกิจการโทรทัศน์ ได้พิจารณาและเสนอความเห็นในเรื่องดังกล่าว และ กสทช.ได้ออกหนังสือแจ้งไปยังบริษัท ทรู ดิจิทัล โจทก์เป็นผู้ทำผิดกฎหมาย อาจส่งผลให้ผู้รับอนุญาตอาจระงับเนื้อหารายการต่างๆ ที่บริษัทส่งไปออกอากาศ ส่อแสดงเจตนากลั่นแกล้งให้บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป ได้รับความเสียหายพิเคราะห์จากการไต่สวนข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นบริษัทนิติบุคคล ประกอบกิจการเชื่อมต่ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกประเภทผ่านอินเตอร์เน็ตโดยแอปฯทรู ไอดี ให้บริการเมื่อปี 2559 ผ่านอินเตอร์เน็ตมีลักษณะ เป็น OTT คือการโหลดแอปฯผ่านอินเตอร์เน็ต ที่ไม่มีการจัดการโครงข่ายเป็นการเฉพาะ กสทช.ไม่เคยกำหนดให้แอปพลิเคชันดังกล่าวต้องขอใบอนุญาตจาก กสทช. แตกต่างกับการส่งโครงข่ายผ่านเคเบิลที่ต้องมีกล่องรับสัญญาณ ต้องขออนุญาตจาก กสทช.ให้เผยแพร่เป็นลักษณะ TPTV การให้บริการ OTT ไม่ได้อยู่ในการบังคับการประกอบกิจการของ กสทช. ส่วนจำเลยเป็นกรรมการ กสทช. มีหน้าที่กำหนดจัดสรรคลื่นความถี่ กำหนดลักษณะกิจการโทรทัศน์ จำเลยเป็นประธานคณะอนุกรรมการด้านกิจการโทรทัศน์ ในการอนุญาตการประกอบกิจการโทรทัศน์ เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายคดีมีปัญหาวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ จากการประชุมคณะอนุกรรมการ กสทช.ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 16 ก.พ.2566 จำเลยเป็นประธานการประชุมมีหัวข้อประชุมเรื่องการแพร่ภาพผ่านอินเตอร์ เน็ตในแอปฯ ทรู ไอดี ที่ประชุมเห็นว่าปัจจุบันมีการประกอบกิจการลักษณะ OTT จำนวนมาก หากเอาแต่แอปฯ ทรู ไอดี มาพิจารณาเพียงรายเดียว อาจจะยกมาเป็นข้อกล่าวอ้างได้ มีมติให้ศึกษาแนวทางการเผยแพร่ของแอปฯ ทรู ไอดี ให้รอบคอบครอบคลุมและมีหนังสือแจ้งตามประกาศข้อ 23 ของ กสทช.แสดงให้เห็นว่าการประชุมของ กสทช.ยังไม่ได้สรุปว่าแอปฯ ทรู ไอดี ต้องขอใบอนุญาตหรือไม่ อย่างไร และให้การศึกษาเรื่องผลกระทบจาก OTT ก่อน โดยการประชุมครั้งที่ 4 จำเลยได้ตำหนิที่ทำหนังสือไม่ได้เจาะจงชื่อของแอปฯ ทรู ไอดี ของโจทก์ จึงให้มีการแก้ไข ทั้งที่การประชุมในครั้งที่ 4 ไม่ได้มีมติดังกล่าว เป็นการทำเอกสารเป็นเท็จที่จำเลยทราบดีและจำเลยมีมติรับรองการประชุมเท็จดังกล่าวพยานหลักฐานรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้สั่งการใช้มีการจัดทำบันทึกให้รองเลขาธิการ กสทช. ลงนามในหนังสือดังกล่าวว่า โจทก์เป็นผู้ประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าใจว่าโจทก์เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบ จำเลยมีหน้าที่นำเสนอต่อกรรมการ กสทช.ต่อไป แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามหน้าที่จากข้อความที่ว่า “วิธีการที่เราต้อง enforce เรื่องนี้ มัสแครี่ มีเงื่อนไขท้ายใบอนุญาตจาก กสทช. เท่านั้นเมื่อ true ID ไม่ได้รับอนุญาต มันเหมือนว่าเคลียร์คัต คุณตั้งเป็น OTT คุณทำผิดเงื่อนไขใบอนุญาตสิทธิ์มัสแครี่ คุณไปทำผิดกฎหมายมันทำไม่ได้ คุณต้องพิจารณาว่า จะมาเข้าสู่ระบบหรือไม่ เมื่อคุณปล่อยให้เนื้อหาเอาไปออกในที่ไม่ควรออก” ข้อความดังกล่าวอนุมานได้ว่า ผู้ประกอบการจะวิตกกังวล มัสแคร่ี นำช่องฟรีทีวีไปออกอากาศในช่องที่ไม่ได้รับอนุญาตเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายหรือไม่ เป็นการใช้หน้าที่ฝ่าฝืนกฎหมายชัดแจ้ง ดังนั้นแนวทางที่จำเลยดำเนินการมีคำว่า “ตลบหลัง” หรือ “ล้มยักษ์” สื่อความหมายชัดเจนว่าจำเลยประสงค์ให้กิจการของโจทก์เสียหาย ทั้งที่มีผู้ท้วงแล้วแต่แทนที่จำเลยจะปฏิบัติตามด้วยความบริสุทธิ์ ยุติธรรม แต่กลับใช้อำนาจในการกลั่นแกล้งโจทก์ เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157ที่จำเลยต่อสู้ว่า ไม่มีสิทธิ์ไปโน้มน้าว ไม่ได้สั่งการเร่งรัดให้เจ้าหน้าที่ กสทช.ทำหนังสือ ไม่ได้แก้รายงานการประชุม ไม่ได้พูด “ตลบหลัง” หรือ “ล้มยักษ์” เป็นการเปรียบเปรย ไม่ได้มีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ เห็นว่าเป็นการต่อสู้ลอยๆพยานหลักฐานไม่มีน้ำหนักให้หักล้างพยานหลักฐานโจทก์ พิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดตามประมวลกฎหมาย อาญามาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ลงโทษจำคุกเป็นเวลา 2 ปีต่อมาเวลา 11.30 น. ศาลมีคำสั่งอนุญาตปล่อยชั่วคราว น.ส.พิรงรอง โดยตีหลักทรัพย์ 120,000 บาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล ภายหลังได้รับการปล่อยชั่วคราว น.ส.พิรงรองเดินทางลงจากบันไดศาลมีสีหน้าเศร้า ผู้สื่อข่าวพยายามเข้าไปสัมภาษณ์ถึงประเด็นที่ศาลลงโทษ เเต่ผู้ติดตามได้พาขึ้นรถกลับโดยระบุว่า ขอไม่ให้สัมภาษณ์เนื่องจากให้สัมภาษณ์ไปช่วงเช้าเเล้ว ก่อน น.ส.พิรงรอง เดินทางกลับทันทีด้านนายแพทย์สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. เปิดเผยว่า คดีความดังกล่าว เป็นเรื่องของสำนักงาน กสทช.ที่จะต้องดำเนินการต่อไป ตามขั้นตอนจะต้องไปคัดสำเนาคำพิพากษา เพื่อส่งเรื่องไปยังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หารือเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ภายใต้ข้อจริยธรรมต่อไปมีรายงานว่า ก่อนหน้านี้หลังศาลประทับรับฟ้อง น.ส.พิรงรองออกแถลงการณ์ยืนยัน ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามอำนาจที่กฎหมายกำหนดและไม่มีเจตนากลั่นแกล้ง มูลเหตุคดีสืบเนื่องมาจากการที่ กสทช.ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภคที่ประสบปัญหาการรับชมรายการของแอปพลิเคชันทรูไอดี ที่มีโฆษณาคั่นเวลาขณะเปลี่ยนช่องรายการทำให้ผู้ชมได้รับความเดือดร้อน เรื่องดังกล่าวได้ถูกส่งมาให้คณะอนุกรรมการพิจารณาอนุญาตด้านกิจการโทรทัศน์ ที่มีตนเป็นประธานเห็นว่า การนำเอาช่องทีวีดิจิทัลที่ได้รับใบอนุญาตจาก กสทช. ไปเผยแพร่ในทรูไอดีอาจขัดต่อประกาศ กสทช. มีมติให้สำนักงาน กสทช. ส่งหนังสือแจ้งช่องทีวีดิจิทัลโดยภายหลังก็ได้มีการออกหนังสือในรูปแบบเดียวกันไปยังผู้ประกอบการอีกรายด้วย จึงไม่ได้เลือกปฏิบัติเย็นวันเดียวกัน คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ออกแถลงการณ์ต่อกรณีที่บริษัททรูดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด ยื่นฟ้อง น.ส.พิรงรอง รามสูต ระบุว่า คณะนิเทศศาสตร์ตระหนักดีว่า มิอาจวิพากษ์วิจารณ์คำตัดสินของศาลอันจะเป็นการล่วงละเมิดอำนาจศาลได้ ในฐานะสถาบันการศึกษาด้านนิเทศศาสตร์ก็มิอาจนิ่งเฉยต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กสทช.เป็นองค์กรที่สังคมคาดหวังให้มีความเป็นอิสระทั้งจากอำนาจรัฐและอำนาจทุน ผลของคดีความทางกฎหมายที่เกิดขึ้นอาจทำให้สังคมเกิดคำถามต่อความเป็นอิสระในการทำงานของ กสทช. และกระทบต่อความเชื่อมั่นที่ผู้ประกอบกิจการสื่อ นักวิชาชีพสื่อ และผู้บริโภคสื่อมีต่อการทำงานของ กสทช. ในอนาคต และยังกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ขององค์กรอิสระในฐานะที่พึ่งของประชาชนในการพิทักษ์สิทธิที่ประชาชนพึงมี เป็นอุปสรรคสำคัญต่อเสรีภาพในการแสดงออก ขัดขวางการวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นสังคมโดยพยายามทำให้เกิดความกดดันและความกลัว คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขอแสดงจุดยืนของคณะฯ สนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของ น.ส.พิรงรอง รามสูต ในฐานะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริต ยึดมั่นในหลักการ และปกป้องผลประโยชน์สูงสุดของสาธารณะต่อไปอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่