เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้รับเชิญไปแสดงปาฐกถาพิเศษในเวที Chula Thailnad President Summit 2025 ที่หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในหัวข้อ Future Thailand : Next Growth เมื่อวันจันทร์ เจ้าสัวธนินท์ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยยังมีอนาคต แม้ว่าจะอยู่ในยุคที่เกิดการเปลี่ยนแปลงของโลกในเรื่องดินฟ้าอากาศปั่นป่วน และเทคโนโลยีเข้ามาทดแทนอย่างรวดเร็ว แต่ในวิกฤติก็ยังมีโอกาส เรื่องหนึ่งที่ไทยได้เปรียบคือ “การเกษตร” ที่ผ่านมาประเทศไทยไม่เคยเจอภัยพิบัติหนักๆอย่างแผ่นดินไหวหรือพายุ มีแต่ปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้ง รัฐบาลมีงบประมาณทำถนนอยู่แล้ว ถ้าสามารถทำถนนเข้าถึงไร่นา ปฏิรูปที่ดิน เอาจริงเอาจังเรื่องชลประทาน ประเทศไทยจะไม่เจอน้ำท่วมและภัยแล้ง และจะทำให้ผลิตผลทางการเกษตรเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า สามารถปลูกพืชได้ 3 ครั้งและปลูกพืชไร่ได้ 3 เท่าพื้นที่สูงก็สามารถปรับเป็นปลูกผลไม้ ส่วนที่ราบก็สามารถทำเป็นบึงขายน้ำสำหรับปั่นไฟ รอบๆบึงสามารถพัฒนาเป็นสถานที่ ท่องเที่ยวตากอากาศ เป็นที่อยู่อาศัยได้อีกด้วยเรื่องที่ เจ้าสัวธนินท์ กล่าวมาทั้งหมดนี้ ล้วนมีพระราชดำริที่ “ในหลวงรัชกาลที่ 9” ทรงทำให้ดูเป็นตัวอย่างมาแล้วตลอดเวลากว่า 70 ปีที่ทรงครองราชย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่อง “ชลประทาน” ที่เป็น “จุดอ่อนของประเทศไทย” ทำให้เกษตรกรไทยยากจน ทุกวันนี้ “แก้มลิง” ซึ่งเป็น “บ่อพักน้ำ” ที่พระองค์ทรงริเริ่มไว้ทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก เมื่อน้ำมามากก็ใช้เป็นที่เก็บน้ำป้องกันน้ำท่วม น้ำที่เก็บไว้ก็ใช้ในหน้าแล้ง เกษตรกรก็ไม่ต้องเผชิญภัยแล้งทุกปี แต่น่าเสียดายที่ทุกรัฐบาลที่ถวายสัตย์ปฏิญาณความจงรักภักดี แต่กลับไม่ต่อยอดพระราชดำริเรื่องชลประทานที่ “ในหลวงรัชกาลที่ 9” ทรงริเริ่มไว้ ทำให้เกษตรกรไทยยังต้องพึ่งเทวดาอยู่ทุกวัน ฝนมาก็เจอภัยน้ำท่วม ฝนไม่มาก็เจอภัยแล้ง ผลผลิตข้าวต่อไร่ก็ยังได้แค่ 400 กิโลมาชั่วนาตาปี ไม่สามารถหลุดพ้นจากความยากจนได้เสียทีถามว่า ประเทศไทยสามารถทำเรื่องเหล่านี้ได้หรือไม่ ผมกล้า ตอบว่า ทำได้ แม้แต่เรื่อง การเผาซังข้าวของชาวนาที่ทำให้เกิดฝุ่นพิษพีเอ็ม 2.5 ความจริงนักวิจัยเกษตรไทยได้วิจัย “จุลินทรีย์” ที่สามารถ ย่อยสลายตอข้าวและซังข้าวได้ในเวลาเพียง 7 วัน โดยไม่ต้องเผา แต่ รัฐบาล และ กระทรวงเกษตรฯ ก็ไม่ยอมใช้ ทำให้ชาวนาแอบเผาซังข้าวมาทุกปี เศร้าใจไหมเจ้าสัวธนินท์ ยังได้พูดถึง การใช้เทคโนโลยีมาทำการเกษตร ปัจจุบันซีพีใช้ “โดรน” มากในพื้นที่การเกษตร เพื่อเฝ้าระวังแมลงศัตรูพืช ให้ปุ๋ยและยาฆ่าศัตรูพืช เช่น พื้นที่เกษตรในกัมพูชา 40,000 ไร่ ในจีนกว่า 100,000 ไร่ ในรัสเซียกว่า 700,000 ไร่ รวมทั้งการใช้ AI (ปัญญาประดิษฐ์) และ IOT (อินเตอร์เน็ตทุกสรรพสิ่ง) ในปศุสัตว์ เพื่อวัดความชื้น วัดอุณหภูมิ วัดออกซิเจน แอมโมเนีย ดูแลสัตว์ป่วยเป็นโรค ใช้หุ่นยนต์และเครื่องจักรในการให้อาหารเพื่อความปลอดภัย แม่นยำ และมีคุณภาพ ไปจนถึงเรื่องโลจิสติกส์ (การขนส่ง) เจ้าสัวธนินท์ กล่าวว่า ห่วงโซ่การผลิตนี้ยาวที่สุดไปจนถึง การค้าปลีก ภัตตาคาร และโต๊ะอาหารของมนุษย์ทุกคนเจ้าสัวธนินท์ กล่าวว่า ซีพีทำตั้งแต่ต้นน้ำ คนอาจมองว่าผูกขาด แต่จริงๆไม่ใช่ แต่เพื่อให้ทุกขั้นตอนมันสุกพร้อมกัน โจทย์ของซีพีคือทำให้ต้นทุนถูกลง ผลิตมากของเหลือก็เสียหาย ผลิตน้อยของไม่พอขายก็เสียหาย สินค้าเกษตรเป็นน้ำมันบนดินที่ใช้ไม่หมด เมื่อ ครอป (crop) แรกเก็บเกี่ยวไปแล้ว ครอป 2 ต้องพร้อมเก็บเกี่ยว และ ครอป 3 ต้องเตรียมปลูก ภาคธุรกิจจะอยู่รอดได้ต้องคิดถึงประชาชน ถ้าคนไทยไม่รวยขึ้นก็ไม่มีเงินมาซื้อสินค้าช่วงท้าย เจ้าสัวธนินท์ ฝากการบ้านให้รัฐบาลคิด “เรารู้ว่าโลกเปลี่ยนแปลง เรารู้ว่าโลกชอบเมืองไทย แต่กฎหมายเราไม่ค่อยเอื้อ” กลัวต่างชาติจะเข้ามาแย่งอาชีพ แต่ถ้าเราสามารถหาอาชีพที่ไทยยังต้องการ ก็จะเป็นประโยชน์กับเศรษฐกิจทันที โดยเฉพาะเรื่องไฮเทค เพราะสุดท้ายแล้ว ไฮเทคทุกอย่างคนเป็นคนสร้าง คนเป็นคนใช้ ถ้าคนไม่มีความรู้ก็ไม่สามารถใช้ไฮเทคเหล่านี้ได้ นี่คือ “อีกจุดอ่อนของประเทศไทย” ที่เรื้อรัง.“ลม เปลี่ยนทิศ”คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม