จากวันนี้ (อาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน 2567) เป็นต้นไป ก็อีกเพียง 5 วันเท่านั้น จะถึง “วันลอยกระทง” วันแห่งพิธีกรรมและการเฉลิมฉลองอันยิ่งใหญ่ ที่คนไทยได้ประพฤติปฏิบัติติดต่อกันมาร่วมๆ 800 ปี นับตั้งแต่ยุคกรุงสุโขทัยเป็นราชธานีหลายๆจังหวัดหลายๆอำเภอ และหลายๆ ท้องที่ท้องถิ่นทั่วประเทศต่างก็ร่วมแรงร่วมใจกันจัดงาน “ลอยกระทง” ขึ้นใหญ่บ้างเล็กบ้างเป็นข่าวในสื่อมวลชนทุกแขนงในนาทีนี้บนโต๊ะทำงานของหัวหน้าทีมซอกแซกเอง ก็มีข่าวคราววางซ้อนกันปึกใหญ่ ดังที่ได้สรุปช่วยประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข่าวคราวไปบ้างแล้วหลายๆงานเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา พร้อมทั้งเกริ่นเอาไว้ว่า สำหรับ “ซอกแซก” วันอาทิตย์นี้จะขอสงวนไว้เพื่อเขียนถึงมหกรรมที่เกี่ยวข้องกับงานลอยกระทงที่ทีมงานของเราชื่นชอบเป็นพิเศษ อันได้แก่งานที่มีชื่อว่า “River Festival” ประจำปีต่างๆ ซึ่งใช้ถ้อยคำในภาษาไทยว่า งาน “สายน้ำแห่งวัฒนธรรมไทย” ที่ท่านผู้อ่านคงคุ้นเคย ได้ยินได้ฟังผู้คนพูดถึงมาตลอดในช่วงหลังๆนี้เหตุที่ชื่นชอบเป็นเพราะแนวความคิดของคณะกรรมการจัดงานในการเชื่อมโยงหลายๆ งาน หลายๆวัฒนธรรม และหลายๆขนบประเพณีรวมถึงมีวิถีชีวิตจากชุมชนริมน้ำต่างๆ มาอยู่ในงานเดียวกันได้อย่างเหมาะสมทำให้มีทั้งประเพณีลอยกระทง, มีทั้งวัฒนธรรมชุมชนอันหลากหลายมาให้ชม, มีทั้งสินค้าชุมชน ซึ่งก็หลากหลายมาให้ชิม มาให้ช็อป ผ่านท่าเรือสำคัญของแต่ละชุมชน ซึ่งจะมีการจัดงานวัฒนธรรมท้องถิ่นรองรับในแต่ละครั้งที่มีการจัดงานควบคู่ไปด้วยส่วนการเดินทางไปเยี่ยมเยียนแต่ละจุดนั้นก็จะอาศัย “เรือด่วน” (ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย) เป็นยานพาหนะ ทำให้มีโอกาสสัมผัสกับลำน้ำเจ้าพระยาและบรรยากาศของ 2 ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างเต็มอิ่มเป็นของแถมในการแถลงข่าวของบุคคลที่เกี่ยวข้องอาทิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล, ท่านประธานจัดงาน สุรพล เศวตเศรนี และ ฯลฯ เมื่อวันพุธที่ผ่านมาสรุปข้อใหญ่ใจความได้ว่า สำหรับปีนี้จะมาในแนวคิด “ยลสายน้ำ ยินทำนอง” โดยจะเชื่อมโยงวัฒนธรรมแห่งสายน้ำเคล้าคลอดนตรีไทย จากบทประพันธ์ของหลวงประดิษฐ์ไพเราะ คีตกวีเอกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (ใครดูภาพยนตร์ไทยเรื่อง “โหมโรง” มาแล้วคงจะจำท่านได้)ขณะเดียวกันก็จะมีการแสดงมหกรรมแบบจารีต และร่วมไหว้พระขอพรอันเป็นมงคลดังเช่นที่ปฏิบัติมา ควบคู่ไปกับการสอดแทรกแนวคิดเรื่องรักษ์โลก ด้วยการเพิ่มทางเลือกในการลอยกระทง ประทีปเทียนหอมใน “บ่อลอย กระทงรักษ์โลก” ขนาดใหญ่ที่เตรียมไว้ทั้ง 10 พื้นที่ที่จัดงานสำหรับ 10 ท่าน้ำและสถานที่จัดงานปีนี้ ส่วนใหญ่ก็เป็นท่าน้ำเดียวกับปีที่ผ่านๆมา ได้แก่ 1.วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม, 2.วัดอรุณราชวราราม, 3.วัดประยุรวงศาวาส, 4.วัดกัลยาณมิตร, 5.วัดระฆังโฆสิตาราม, 6.ท่ามหาราช, 7.เอเชียทีคเดอะริเวอร์ฟร้อนต์, 8.ท่ายอดพิมาน และ 9.ท่าสุขสยาม ณ ไอคอนสยามส่วนสถานที่ที่ 10 แม้จะมีสายน้ำเชื่อมถึง เพราะเป็นบริเวณท่าในคลองที่เรียกว่า “คลองโอ่งอ่าง” ซึ่งจะมีจุดเชื่อมไปจนถึง วัดบพิตรพิมุข และ อาคารศาลรัฐธรรมนูญ นั้นไม่แน่ใจว่าจะมีเรือด่วนมาช่วยบริการได้ คงต้องหาวิธีที่จะเดินทางไปเอง ซึ่งก็คงไม่ยากเย็นอะไร เพราะมีรถเมล์ผ่านไปใกล้ๆหลายสายแต่ละท่าแต่ละจุดแต่ละชุมชนข้างวัดสำคัญต่างๆ ก็จะนำสินค้าชุมชนมาจำหน่ายมีกิจกรรมและการละเล่นชุมชนมาแสดง หรือนำอาหารอร่อยๆมาวางขายควบคู่ไปกับการเปิดสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่เคารพสักการะ เช่น พระอุโบสถ พระวิหาร หรือพระเจดีย์ต่างๆ ให้เข้ากราบไหว้บูชาอย่างใกล้ชิดกิจกรรมทั้งหมดทั้งมวลจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 14 พฤศจิกายน ไปจนถึงวันที่ 16 พฤศจิกายน รวม 3 วัน โดยจะเริ่มตั้งแต่ 16.00-22.00 น. ในวันที่ 14 และ 16 ส่วนวันที่ 15 ซึ่งเป็นวันลอยกระทงนั้น จะเปิดยาวให้ถึง 24.00 น. หรือเที่ยงคืนเลยทีเดียวอนึ่ง สำหรับงานที่ถือว่าอยู่ในเครือข่ายของงาน “สายน้ำแห่งวัฒนธรรม” มาหลายปีแล้ว อีกงานหนึ่งก็คือ งาน “Lamphun River Festival 2024” หรือครั้งที่ 6 ครับ จะจัดงาน 14-17 พ.ย. ณ ถนนรถแก้ว ฝั่งติดถนนอินทยงยศ ย่านเมืองเก่าลำพูนคณะกรรมการจัดการฝากให้ช่วยประชา สัมพันธ์ให้พี่น้องชาวลำพูนไป...ไปเต๊อะไป “แอ่ว” อย่างพร้อมเพรียงกันด้วยทีมงานซอกแซกขอปรบมือให้แก่ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน ที่ร่วมกันจัดงานนี้มาเผลอแผล็บเดียวย่างเข้าปีที่ 10 เรียบร้อย อันได้แก่ กระทรวงวัฒนธรรม, กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, การท่องเที่ยวแห่ง ประเทศไทย, กองทัพเรือ ฯลฯ รวมทั้ง บริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ที่ยืนหยัดเป็นหัวเรือใหญ่ทั้งด้านความคิดสร้างสรรค์ และด้านทุนทรัพย์มาตั้งแต่ปีแรกในการแถลงข่าวท่านประธานจัดงานได้กล่าวสรุปว่า เมื่อปีที่แล้วได้รณรงค์ให้ผู้มาเที่ยวงาน ร่วมลอยกระทงในระบบ “ปิด” 100% ทำให้สามารถเก็บขยะกระทงและนำกลับมา “รีไซเคิล” ใช้ประโยชน์ต่อได้อีกโดยสามารถเก็บขยะกระทงในงานนี้ได้มากกว่า 2,000 กิโลกรัม ส่งมอบให้ กทม.ไปแปรรูปเป็นปุ๋ยอินทรีย์ได้กว่า 307 กิโลกรัม และยังสามารถเก็บประทีปเทียนหอม นำกลับมาหลอมใหม่เป็นเทียนมอบให้แก่วัดในพื้นที่ นำไปใช้ในศาสนกิจได้อีก...ซึ่งปีนี้ก็จะดำเนินการในลักษณะนี้ต่อไปนี่แหละที่เขาเรียกว่า เที่ยวอย่างสนุกอย่างมีวัฒนธรรมและอย่างยั่งยืน ตามศัพท์ใหม่ที่ฮิตทั่วโลก “Sustainability” ณ ปัจจุบันนี้.“ซูม”คลิกอ่านคอลัมน์ “ซูมซอกแซก” เพิ่มเติม