ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ด้านฐานะทางเศรษฐกิจและอื่นๆ กลายเป็นปัญหาถาวรของประเทศไทย ในโอกาสที่มาร่วมงานกับหนังสือพิมพ์ “ไทยรัฐ” เมื่อเร็วๆนี้ นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการกล่าวว่า ความเหลื่อมล้ำเป็นปัญหาที่ซับซ้อน เป็นรากฐานที่สำคัญอย่างหนึ่ง ในการยกระดับคุณภาพชีวิตระยะยาวปัจจุบันนี้เด็กหลุดหายไปจากระบบการศึกษา กลายเป็นปัญหาสำคัญอีก อย่างหนึ่ง สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ระบุสาเหตุที่เด็กหลุดจากระบบการศึกษาที่มีถึง 11 ด้าน เช่นความ จำเป็นของครอบครัว การย้ายพื้นที่อยู่รายได้ไม่เพียงพอ สุขภาพหรือความพิการ การคมนาคมไม่สะดวกหรือผู้ปกครองไม่ใส่ใจนักวิชาการด้านการศึกษาชื่อดัง และกรรมการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา อาจารย์สมพงษ์ จิตระดับ เคยให้สัมภาษณ์เมื่อหลายเดือนก่อน ว่าความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษาเป็นปัญหาที่ไม่มีใครเข้าไปจัดการ เป็นต้นตอของความยากจนทำให้ประเทศไทยติดหล่ม เป็นรากฐานของความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ เป็นปัญหาที่มีมายาวนานหลักฐานที่ระบุว่า ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาเป็นต้นตอของความยากจนก็คือปัจจุบันนี้ ครอบครัวที่ฐานะยากจนที่สุด จบการศึกษาระดับชั้นประถม มีรายได้เฉลี่ยเพียงเดือนละ 1,021 บาท มีประมาณ 15% ของประชากรทั้งหมด ครอบครัวคนชั้นกลาง จบปริญาตรีขึ้นไป มีรายได้ 4,611–57,000 บาท ส่วนครอบครัวผู้ร่ำรวย มีรายได้ 290,000 บาท ก่อให้เกิดการแบ่งชนชั้นชัดเจน ทั้งในเรื่องรายได้และอื่นๆการแบ่งชนชั้น นอกจากด้านรายได้แล้ว ยังมีความแตกต่างในด้านโอกาส ศักดิ์ศรี และอำนาจ เป็นต้น ชัดเจนที่สุด คือในขณะนี้ ในขณะที่กรณี “ดิ ไอคอน” โด่งดังก่อให้เกิดชนชั้นใหม่ เรียกกันว่าชนชั้น “เทวดา” ส่วนใหญ่มาจากนักการเมืองและข้าราชการ ผู้มีอำนาจอยู่เหนือกฎหมาย ทำผิดแล้วไม่ต้องรับผิดใดๆรัฐบาลในยุคหลังๆ ไม่ว่าจะมาจากการเลือกตั้ง หรือมาจากรัฐประหารมักจะประกาศนโยบายแก้ความยากจนและแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ด้วยการ ลดแลกแจกแถม หรือประชานิยม รัฐบาล ปัจจุบันสัญญาจะแจกเงินผ่านโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ให้ผู้มีอายุ 16 ปีขึ้นไป 50 ล้านคนทั่วประเทศ คนละ 1 หมื่นบาท แต่เอาเข้าจริงแจกได้ยังไม่ถึงครึ่งแจกได้ช่วงแรกประมาณ 14 ล้านคน ช่วงต่อไปยังไม่แน่นอน แต่ถ้ามองย้อนกลับไปดูรัฐบาลต่างๆที่ผ่านมา นโยบายแจกเงินไม่สามารถแก้ปัญหาความยากจน เช่น การแจกเงินผ่านบัตรสวัสดิการรัฐ เริ่มแรกเพียงไม่กี่ล้านคน ขณะนี้พุ่งขึ้นเป็น 14 กว่าล้าน ยิ่งแจก ยิ่งจน รัฐบาลโฆษณาว่าจะทำให้จีดีพีโตปีละ 5% แต่ทำได้ส่วนใหญ่ไม่ถึง 3%.คลิกอ่านคอลัมน์ “บทบรรณาธิการ” เพิ่มเติม