นอกจากจะขึ้นแท่นเป็นศิลปินยุคใหม่ที่มีความสามารถรอบด้าน ทั้งเล่นเปียโน, ร้องเพลง, แต่งเพลง, โปรดิวซ์อัลบั้มเอง และเป็นซีอีโอบริษัทของตัวเอง “โต๋–ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร” ลูกชายคนโตของ “นคร เวชสุภาพร” หัวหน้าวงแกรนด์เอ็กซ์ ยังได้รับเสียงชื่นชมเสมอในเรื่องความเป็นสุภาพบุรุษที่แสนจะอบอุ่นน่ารัก จนทุกคนต้องถามว่า “แม่โอ๋–ธนภรณ์” ฟูมฟักลูกชายยังไงถึงได้ดังใจขนาดนี้“คนเป็นแม่จะให้ความรักอย่างเดียวไม่ได้ ต้องให้เวลาลูกด้วย ถ้าไม่มีเวลาสอนเขาไม่มีเวลาอยู่กับเขา มันก็จะห่างกันไปเรื่อยๆ เราให้แต่เงินทองไม่ได้หรอก ตอนสาวๆแม่ทำงานอยู่สยามกลการ พอแต่งงานก็ออกจากงานมาดูแลครอบครัวและเลี้ยงลูกอย่างเดียว แม่ไปรับไปส่งลูกทั้งสองคนทุกวัน สอนลูกให้หัดขึ้นรถเมล์ สอนให้ทำงานบ้าน แม่โอ๋จะเน้นมากทุกอย่างต้องมีระเบียบวินัย ถ้าทำผิดแม่ก็ต้องลงโทษนะ ขั้นที่หนึ่งคือเรียกมาคุย พอบอกแม่ขอคุยหน่อย ลูกๆจะหน้าซีดกลัวเข้าห้องเย็น เช่น แม่ให้โต๋กับเต๋เข้านอนสองทุ่มครึ่ง แต่เปิดประตูเข้าไปพี่น้องยังเล่นกันอยู่ แม่ก็เรียกมาคุยและคาดโทษว่าเสาร์อาทิตย์นี้ไม่มีการเล่นเกมและดูทีวี ขั้นที่สองทำผิดซ้ำอีก คราวนี้ไม่ให้เปิดแอร์นอน ขั้นที่สามถ้ายังไม่เชื่อจะเรียกมาตีแล้ว มีให้เลือกระหว่างไม้ไผ่กับไม้แขวนเสื้อ ก่อนตีจะต้องคุยกันรู้ใช่ไหมว่าทำผิดอะไร และแม่ต้องตีเพราะอะไร เวลาตีแม่จะตีทั้งคู่ พี่โต๋จะโดนหนักกว่าน้อง พอตีเสร็จเราสามคนแม่ลูกจะกอดกันอธิษฐานขอให้พระเจ้าช่วยไม่ให้ดื้ออีก บางทีตีไปก็ร้องไห้ไป จำเป็นต้องตีเพื่อให้ลูกจำ และไม่ทำผิดซ้ำอีก”...แม่โอ๋เฉลยว่าเลี้ยงโต๋ยังไงให้น่ารักขนาดนี้ แม่โอ๋ภูมิใจในน้องโต๋ขนาดไหนแม่ภูมิใจในลูกทั้งสองคน จะสอนเสมอว่าโต๋กับเต๋จะให้เจอแล้วคนชมหรือให้คนมาว่าแม่ ถ้าลูกทำตัวดีมีมารยาท เวลาคนชมโต๋กับเต๋ ก็จะชมมาถึงแม่ด้วย แม่ยอมรับว่าเป็นคนระเบียบจัด อย่าได้เดินเสียงดังกินอาหารเสียงดังไม่ได้เลย การพูดจาต้องมีสัมมาคารวะ ถ้าพูดกับผู้ใหญ่ไม่มีคำว่าครับ แม่จะดีดปากทันที แม่จะสอนให้ทำงานบ้านตั้งแต่เล็กๆ กวาดหน้าบ้าน, เก็บห้องนอนตัวเอง, ขัดห้องน้ำ และล้างจาน บางทีรักลูกก็อยากจะปล่อยนะคะ แต่ต้องใจแข็งเพื่ออนาคตของลูก คนเป็นแม่ต้องเสียสละทั้งชีวิต 23 ปีแม่ไม่เคยออกไปไหนกับเพื่อน อยู่ดูแลลูกใกล้ชิดทุกวันจนโตเป็นหนุ่ม ถึงลูกๆมีครอบครัวแล้วก็ยังอดห่วงไม่ได้ คนเป็นแม่ไม่มีปล่อยวางหรอก ถ้าลูกเรารักใครแม่ก็ต้องรักด้วย เพื่อให้ลูกมีความสุข ตอนนี้เราเกษียณแล้วขอไปใช้ชีวิตของเราให้มีความสุขตามประสาตายาย เราคอยดูห่างๆอย่างห่วงๆก็พอ อย่าไปจุ้นจ้านครอบครัวลูกเยอะ เพราะยุคสมัยเปลี่ยนไปหมดแล้ว โต๋ให้แม่มาทุกอย่างแล้ว ตอนนี้เหลืออย่างเดียวคือขอหลานน่ารักๆ ให้แม่อุ้ม โดนเคี่ยวกรำหนักขนาดไหน กว่าจะเป็น “โต๋ ศักดิ์สิทธิ์” อย่างวันนี้ตั้งแต่เล็กจนโตผมจะมีตารางชีวิตแปะอยู่หน้าห้อง ตื่นไปเรียนหนังสือกี่โมง เลิกเรียนบ่ายสองโมงครึ่งกลับถึงบ้าน ให้พัก 10 นาที แล้วเรียนพิเศษต่อ จากนั้นก็ซ้อมเปียโน และก่อนเข้านอนต้องอ่านหนังสือทบทวนทุกวัน คือวันๆหนึ่งต้องทำอะไรบ้าง คุณแม่จะทำตารางกำหนดไว้ให้หมด วันเสาร์อาทิตย์ตารางชีวิตของผมจะประมาณตื่นไปเรียนเปียโนตั้งแต่ 7 โมงเช้า เรียนเสร็จตอนบ่ายขึ้นรถเมล์ไปซ้อมดนตรีที่โบสถ์แถวมีนบุรี ส่วนวันอาทิตย์ก็ไปเล่นดนตรีที่โบสถ์ มีเวลาเหลือถึงได้เรียนวาดรูปและว่ายน้ำ เราสองคนพี่น้องยังมีหน้าที่ต้องช่วยคุณแม่กวาดบ้าน และทำความสะอาดห้องตัวเองด้วย รู้ตัวตั้งแต่เล็กๆเลยไหมว่าโตขึ้นอยากเป็นนักดนตรีเด็กๆทุกคนคงไม่มีใครบอกได้ตั้งแต่ตอน 4 ขวบ ว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร เราจะเห่อเป็นพักๆ อยากเป็นโน่นเป็นนี่ แต่คุณพ่อเป็นคนไกด์ไลน์ว่าอยากให้โต๋เรียนดนตรี ไม่ได้เรียนเพื่อเป็นศิลปินนะครับ แต่เรียนเพื่อให้มีดนตรีในชีวิต เพราะดนตรีมันเชปอัปเด็กคนหนึ่งในหลายมุม สอนให้เขามีสมาธิและมีวินัย โต๋เริ่มเรียนเปียโนกับคุณพ่อตั้งแต่ 3-4 ขวบ พอโตหน่อยคุณแม่จะเป็นคนพาไปเรียนเปียโน และเรียนพิเศษทุกอย่าง เคยดื้อกับพ่อแม่มากสุดแค่ไหนก็มีบ้างเหมือนเด็กทั่วไป ผมไม่ได้นั่งซ้อมเปียโนวันละ 6 ชั่วโมงขนาดนั้น ก็อยากออกไปเตะบอลและเล่นบาสกับเพื่อนๆบ้าง ดื้อสุดของผมคือขอเบี้ยวไม่ไปซ้อมดนตรีสักวัน เพราะอยากไปเล่นไอซ์สเกตกับเพื่อนๆ บางทีคุณแม่ก็ให้ บางทีก็ไม่ให้ โดยให้เหตุผลว่าชีวิตคนเราไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆหรอก โต๋อยากได้อะไรสักอย่างในชีวิต เราต้องเสียสละบางอย่าง ก็จะมีการพูดคุยกันตลอดด้วยเหตุผล เอาจริงๆพื้นฐานโต๋ไม่ใช่คนดื้อ จะทำตามที่พ่อแม่บอกทุกอย่าง ย้อนมองชีวิตวัยเด็ก รู้สึกขอบคุณพ่อแม่ขนาดไหนผมโชคดีที่มีพ่อแม่วางแผนที่ชีวิตให้หมด และโชคดีที่เราเชื่อฟังพ่อแม่ โชคดีที่เวลาเราดื้อ เขายังสอนให้อยู่ในลู่ทาง ด้วยความใจแข็งและมีวินัยของพ่อแม่ที่ตบเราให้เข้าที่เข้าทาง ตรงนี้มันสำคัญต่อเด็กนะ ไม่ได้พูดแบบนี้ให้พ่อแม่บังคับลูกตามใจตัวเอง แต่บ้านโต๋จะมีพื้นที่ให้เด็กๆแสดงความคิดเห็นและเอามาดีเบตกัน คุณแม่จะเข้มงวดกว่าคุณพ่อ และพูดตลอดว่าสิ่งที่โต๋ทำอยู่มันมีค่าและมันจะติดตัวโต๋ไปตลอดชีวิตนะลูก ไม่มีใครเอาสิ่งนี้ไปจากโต๋ได้เลย ถ้าอยากได้อะไรมากกว่าคนอื่น เราก็ต้องเสียสละมากกว่าคนอื่น บางทีเราอยากไปเรียนเต้น เพราะเห็นวงบอยแบนด์ฮิตมาก หรือมีโมเดลลิ่งติดต่อมา คุณแม่ก็ไม่ให้ไป บอกว่ามันเป็นแค่แฟชั่น ไม่เหมือนการเรียนดนตรีเป็นความสามารถที่จะอยู่กับเราตลอดไป ตรงนี้สำคัญสำหรับเด็กนะครับ ถ้าเราห้ามเขาโดยไม่อธิบายให้เข้าใจ จะก่อให้เกิดการต่อต้านลึกๆ อยากเก่งอย่างโต๋ต้องทุ่มเทขนาดไหนผมไปเดินสยามครั้งแรกตอนอายุ 19 ก่อนหน้านั้นไม่เคยได้ไปไหนเลย นอกจากเรียนเปียโนและไปโบสถ์ โต๋เป็นเด็กไม่ดูการ์ตูน แต่จะเน้นซ้อมเปียโน เริ่มจากตอน 4 ขวบ จะซ้อมเปียโนวันละ 15 นาที ค่อยๆเพิ่มจนเป็นวันละชั่วโมงทุกวัน การซ้อมดนตรีไม่ได้แปลว่านั่งเล่นแต่เปียโน แต่รวมถึงการฝึกฝนเรื่องอื่นๆเพื่อให้ได้เป็นนักดนตรี เช่น เปิดเพลงฟังแกะโน้ต ที่เห็นโต๋เล่นได้แบบนี้มันเกิดจากการเดินทางยาวไกลตั้งแต่ 3-4 ขวบ และสะสมมาจนถึงทุกวันนี้ มันต้องใช้วินัยมากๆ และต้องขอบคุณพ่อแม่ที่สอนให้เรามีวินัย พรสวรรค์ของโต๋เปล่งประกายให้คนเห็นตอนไหนโต๋มีคุณพ่อเป็นไอดอล และฝันอยากจะเอาเปียโนมาอยู่ข้างหน้าให้ได้ นี่คือสิ่งที่คิดตลอดเวลา พอรู้ว่าเราอยากทำอะไร มันทำให้ชีวิตมีทิศทางชัดเจนและลุยได้เต็มที่ โต๋ไปเล่นดนตรีที่โบสถ์ทุกวันอาทิตย์ตั้งแต่ 9 ขวบ มีค่ายเพลงติดต่อมาพอสมควร แต่คุณพ่อไม่อยากให้เป็นศิลปิน พ่อบอกว่าการเป็นศิลปินมันไม่สนุกเหมือนอย่างที่คิดนะลูก ชีวิตขึ้นลงตลอดเวลา มันเหนื่อยทั้งใจและเหนื่อยทั้งกาย แต่โต๋รักดนตรีจริงๆ จนอายุ 18 ปี “พี่บอย โกสิยพงษ์” มาที่โบสถ์ และเห็นโต๋เล่นเปียโน เลยขอคุณพ่อชวนโต๋ไปช่วยงานห้องอัดเสียง ไม่ได้ขอเป็นศิลปินนะ แล้วอยู่ดีๆพี่บอยจัดคอนเสิร์ตศิลปินรุ่นใหม่ของค่ายเบเกอรี่มิวสิค และขอให้โต๋เล่นคอนเสิร์ตด้วย ตอนนั้นเป็นปี 2003 จากนั้นโต๋ก็เดินบนเส้นทางนี้มายาวเลย มีความสุขขนาดไหนเวลาพรมนิ้วบนเปียโนมันบอกไม่ถูก แต่มันเป็นตัวเรา เวลาขึ้นไปเล่นเปียโนไม่ได้คิดอะไรเลย แต่มันไปของมันเองอัตโนมัติ ทั้งนิ้วและวิธีการร้อง เมื่อก่อนโต๋ขี้อายครับ เล่นคอนเสิร์ตพูดไม่เป็น อยู่กับคนเยอะๆไม่เป็น ถ้าให้ลุกจากเปียโนนี่ไม่เอาเลย ก็ใช้เวลาเรียนรู้มาเรื่อยๆ จนทุกวันนี้ดีขึ้นครับ รู้สึกว่าเวลาเล่นเปียโน เราได้พูดได้สื่อสารผ่านเสียงดนตรี ผมไม่ได้เล่นจากความจำ พอนั่งหลังเปียโนปุ๊บ ทุกอย่างพาไปเองจากบรรยากาศ, เพลง และคนดู เป็นโมเมนต์ที่มีความสุขที่สุดในวัย 40 โต๋เติบโตขึ้นขนาดไหนจากเมื่อก่อนเราเป็นศิลปินอย่างเดียว ตอนนี้เป็นซีอีโอบริษัทของตัวเองแล้ว ชื่อว่า “TRUE TONE ENTERTAINMENT” เปิดเมื่อ 2 ปีก่อน เน้นสร้างคอนเทนต์แนวใหม่ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ และสร้างธุรกิจบันเทิงในคอนเซปต์ “Entertainmerce” นำความหลากหลายบันเทิงมาเชื่อมต่อกันให้เกิดประโยชน์กับคนดูคนฟังมากที่สุด เฟสแรกจะมี 3 รูปแบบคอนเทนต์คือ “PIANO & I”, “ไปตามโต๋” และ “melodish” โต๋จัดคอนเสิร์ตของตัวเองมา 4 ครั้ง ล่าสุดคือคอนเสิร์ต “PIANO & I The Bakery Songbook Concert” เปิดแสดง 2 รอบ วันที่ 31 ส.ค. และปีหน้าจะจัดคอนเสิร์ต “PIANO & I The Legend” เพื่อเอาใจคนรุ่นใหญ่บ้างเข็มทิศชีวิตของโต๋กำลังมุ่งไปทางไหนโต๋อยากสร้างเด็กรุ่นใหม่ๆให้เติบโตอย่างมีคุณภาพบนเส้นทางดนตรี อาจทำค่ายเพลง หรือเปิดโรงเรียนปั้นศิลปินรุ่นใหม่ ขอฝากถึงเด็กรุ่นใหม่นะครับ ต้องหาตัวเองให้เจอว่าชอบอะไร ยิ่งหาเจอเร็ว จะทำให้ชีวิตมีทิศทาง สองต้องมีวินัย สมัยนี้อะไรก็มาเร็วไปเร็ว เราต้องแบ่งเวลาให้ดี จำไว้ว่าไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ อยากได้อะไรมากกว่าคนอื่น คุณก็ต้องจ่ายราคาแพงกว่าคนอื่นอยากขอบคุณอะไรแม่โอ๋เป็นพิเศษไหมตอนนี้ทุกคนมาเจอคุณแม่ในมุมสวยสดใสแล้ว แต่ที่จริงคุณแม่หายไปจากสังคม 20 กว่าปี เพื่อทุ่มเทดูแลลูกๆ ถ้าไม่มีคุณแม่ก็คงไม่มีโต๋ในวันนี้ แม่พูดเสมอว่าเด็กๆก็เหมือนลูกโป่งลอยขึ้นฟ้า ถ้าไม่มีคนคอยดึงคอยกระตุกเอาไว้ มันก็จะหลุดลอยหายไปเลย ทุกอย่างในชีวิตคือคุณแม่สอนมาทั้งหมด โต๋รู้สึกว่าช่วงนี้เป็นช่วงเวลาทองของชีวิต เป็นช่วงที่เรามีครอบครัวของตัวเอง และยืนได้ด้วยตัวเอง พ่อแม่ยังแข็งแรง และเรามีกำลังพอจะดูแลพ่อแม่ได้เป็นอย่างดี เป็นช่วงที่มีความสุขที่สุดในชีวิตแล้วครับ.ทีมข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐอ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่