สยอง! เครื่องบินโดยสารรุ่นเอทีอาร์-72 ของสายการบินในบราซิล หมุนควง สว่านก่อนดิ่งตกใส่บ้านเรือนประชาชนในรัฐเซาเปาโล ตามด้วยไฟลุกไหม้ คร่าชีวิตคนบนเครื่องยกลำ 61 ศพ ส่วนใหญ่เป็นแพทย์ที่เดินทางมาร่วมงานสัมมนาในรัฐปารานา ด้านผู้เชี่ยวชาญด้านการบินชี้ความผิดปกติ น้ำแข็งในชั้นบรรยากาศเดียวกับระดับการบินอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เครื่องบินสูญเสียการควบคุม ขณะที่ผู้ผลิตเครื่องบินจากฝรั่งเศสและอิตาลีจะร่วมสอบสวนสาเหตุเครื่องบินตกในครั้งนี้ หลังเคยเกิดมาแล้วหลายครั้งโศกนาฏกรรมนกเหล็กของบราซิลโหม่งโลกตกใส่บ้านเรือนประชาชนในครั้งนี้ สำนักข่าวประเทศรายงานเมื่อวันที่ 10 ส.ค.ว่า นายกิเลอร์มี เดอร์ริเต เลขาธิการความมั่นคงสาธารณะของรัฐเซาเปาโลของบราซิลแถลงว่า เกิดเหตุเครื่องบินโดยสารรุ่นเอทีอาร์-72 ชนิดใบพัด 2 เครื่องยนต์ ของสายการบินโวพาสของบราซิล เที่ยวบินที่ 2283 ออกเดินทางจากเมืองคาสคาเวล รัฐปารานา ไปยังสนามบิน ในรัฐเซาเปาโล ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของบราซิล ลอยหมุนเคว้งบนอากาศก่อนตกลงกระแทกพื้นในย่านชุมชนที่เมืองวินเยโด ทางตะวันตกเฉียงเหนือของรัฐเซาเปาโล ที่ความสูงราว 5,182 เมตร ภายใน 1 นาที ส่งผลให้เกิดเพลิงลุกไหม้รุนแรง จนมีผู้เสียชีวิตยกลำ 61 ศพ ขณะที่ผู้คนอื่นๆที่อยู่บริเวณจุดเกิดเหตุไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต เจ้าหน้าที่ได้เก็บกู้กล่องดำจากเครื่องบินของสายการบินโวพาสลำดังกล่าวได้แล้ว เพื่อสืบสวนสาเหตุโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นต่อไปด้านนายลูอิส อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา ประธานาธิบดีบราซิล แถลงแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิตต่อเหตุสลดดังกล่าว ขณะที่นายทาร์ซิสิโอ โกเมส เดอ เฟรย์ตาส ผู้ว่าการรัฐเซาเปาโล ประกาศไว้อาลัยและลดธงชาติเป็นเวลา 3 วันก่อนหน้านี้ สายการบินโวพาสแถลงยืนยันว่า เหยื่อทั้ง 61 รายที่อยู่ในเที่ยวบิน 2283 เป็นผู้โดยสาร 57 คน ส่วนอีก 4 คนเป็นลูกเรือ และทั้งหมดเป็นชาวบราซิล แต่ยังไม่ชัดเจนว่ามีผู้ใดถือสองสัญชาติหรือไม่ และยืนยันว่าสายการบินจะให้ความช่วยเหลือแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตอย่างเต็มที่ และให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่อย่างสุดความสามารถเพื่อตรวจสอบว่าสาเหตุของอุบัติเหตุในครั้งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรขณะเดียวกัน ยังมีการเผยแพร่ภาพและวิดีโอขณะเกิดเหตุบนโลกออนไลน์ เผยให้เห็นเครื่องบินกำลังหมุนวนอยู่บนอากาศก่อนทิ้งดิ่งลงสู่พื้นดินอย่างน่าสยดสยอง จนเกิดเพลิงลุกไหม้ท่วมทั้งลำและมีกลุ่มควันสีดำขนาดใหญ่ลอยพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ต่างกรีดร้องดังลั่นด้วยความตื่นตระหนก ด้านนายแดเนียล เดอ ลิมา พยานผู้เห็นเหตุการณ์เผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ของอังกฤษว่า ได้ยินเสียงดังสนั่นจนตนเองต้องไปมองด้านนอกของคอนโดมิเนียม ก็เห็นเครื่องบินกำลังหมุนควงในแนวดิ่ง ไม่ได้เคลื่อนที่ไปข้างหน้า ก่อนดิ่งลงพื้นอย่างรวดเร็วและเพลิงก็เริ่มลุกไหม้ มีควันสีดำกลุ่มใหญ่ลอยโขมงขึ้นสู่ท้องฟ้า ตัวเองเชื่อว่านักบินพยายามหลบเลี่ยงไม่ให้เครื่องบินตกในเขตชุมชนที่มีคนอาศัยอยู่อย่างหนาแน่นนอกจากนี้ หนึ่งในผู้โดยสารที่รอดชีวิตอย่างหวุดหวิดเผยกับสำนักข่าวโกลโบของบราซิลว่า มีผู้โดยสารของเที่ยวบินมรณะลำนี้อย่างน้อย 10 คนไปรอขึ้นเครื่องบินผิดประตู ทำให้พลาดเที่ยวบินดังกล่าว ซึ่งตัวเองได้ขอร้องพนักงานอนุญาตให้ตนได้ขึ้นเครื่อง เพราะมีความจำเป็นที่ต้องโดยสารไปกับเครื่องบินลำนี้ แต่พนักงานยืนกรานปฏิเสธ โดยแนะนำให้ซื้อตั๋วโดยสารใหม่ในเที่ยวบินอื่น ส่วนนายราตินโน จูเนียร์ ผู้ว่าการรัฐปารานา เผยกับผู้สื่อข่าวว่า ผู้โดยสารในเที่ยวบินที่ 2283 ส่วนใหญ่เป็นแพทย์ที่เดินทางมาร่วมงานสัมมนาในรัฐปารานาขณะที่สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นของสหรัฐฯ และสำนักข่าวบีบีซีของอังกฤษ รายงานว่า ข้อมูลจากไฟลท์เรดาร์ 24 แอปพลิเคชันติดตามเส้นทางและการเดินทางของเที่ยวบินต่างๆ ระบุว่า เครื่องบินเที่ยวบินที่ 2283 ออกเดินทางจากเมืองคาสคาเวล ในเวลา 11.56 น. และรักษาระดับความสูงอยู่ที่ 5,182 เมตร จนถึงเวลา 13.21 น. และตกจากระดับเดิมลงไปประมาณ 76 เมตรใน 10 วินาที ต่อมาเครื่องบินสามารถไต่ระดับความสูงขึ้นไปที่ 121 เมตรในเวลาประมาณ 8 วินาที แต่แล้วอีก 8 วินาทีต่อมา เครื่องบินได้เสียระดับความสูงไป 610 เมตร จากนั้นระดับความสูงของเครื่องบินตกลงต่อเนื่องใน 1 นาที โดยสามารถจับสัญญาณได้ครั้งสุดท้ายในเวลา 13.22 น. ตามเวลาท้องถิ่นเหตุการณ์นี้สร้างความประหลาดใจให้แก่ผู้เชี่ยวชาญด้านการบิน โดยเฉพาะประเด็นการหมุนควงบนอากาศในแนวดิ่งของเครื่องบินและตกลงสู่พื้น ว่าเกิดขึ้นจากสาเหตุใด ซึ่งนายมาร์เซล โมรา หัวหน้าทีมปฏิบัติการของสายการบินโวพาส เปิดเผยว่า พยากรณ์อากาศในวันเกิดเหตุระบุว่าอาจมีน้ำแข็งในชั้นบรรยากาศเดียวกับระดับการบินของเครื่องบิน แต่ยังอยู่ในระดับที่สามารถนำเครื่องขึ้นบินได้ ซึ่งเข้าใจว่านักบินได้เปิดระบบละลายน้ำแข็งก่อนนำเครื่องบินขึ้นบิน จึงเป็นไปได้ว่าการมีน้ำแข็งในชั้นบรรยากาศเดียวกับระดับการบิน อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เครื่องบินสูญเสียการควบคุมด้านนายแอนโทนี บริกเฮาส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยการบินจากสหรัฐอเมริกา ระบุว่า ต้องมีการตรวจสอบสภาพอากาศ และเครื่องยนต์ของเครื่องบินว่าสามารถทำงานได้ปกติก่อนเกิดเหตุสลดนี้หรือไม่ แต่เชื่อว่านักบินสูญเสียการควบคุมเครื่องบิน ด้านนายมาร์เซโล โมเรนา ศูนย์วิจัยและป้องกันอุบัติเหตุการบินของบราซิล แถลงว่า จากการสืบสวนในเบื้องต้น ไม่พบข้อมูลที่ได้รับแจ้งจากลูกเรือว่าเครื่องบินลำดังกล่าวเกิดปัญหาฉุกเฉิน หรือเกิดปัญหาขัดข้องอื่นๆ ทั้งนี้ บริษัทเอทีอาร์ ผู้ผลิตเครื่องบินจากฝรั่งเศสและอิตาลีจะร่วมดำเนินการสืบสวนสอบสวนเหตุเครื่องบินตกในครั้งนี้เช่นกันสำหรับเครื่องบินรุ่นเอทีอาร์ 72 เคยมีเหตุสลดและปัญหาขัดข้องเกิดขึ้นในอดีต เช่น ในปี 2537 เครื่องบินรุ่นดังกล่าวเกิดน้ำแข็งเกาะบนตัวเครื่องทำให้ไม่สามารถบินเทียบเพื่อลงจอดได้ จนเครื่องบินทิ้งดิ่ง เหตุเกิดในรัฐอินเดียนาของสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 68 ศพ ขณะที่ในปี 2559 เกิดเหตุเครื่องบินเอทีอาร์ 72 สูญเสียการควบคุมเนื่องจากมีน้ำแข็งเกาะบนตัวเครื่อง แต่นักบินสามารถควบคุมการบินได้ ส่วนในปี 2566 เครื่องบินเอทีอาร์ 72 ก็เกิดปัญหาขัดข้องจนส่งผลให้เครื่องบินตกในเนปาลเช่นกันอ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่