ปิดฉากสำหรับแหกคุกบันลือโลก “ชวลิต ทองด้วง หรือแป้ง นาโหนด” นักโทษคดีอุกฉกรรจ์ฟอร์มแกล้งป่วยเข้ารักษาตัวใน “รพ.มหาราชนครศรีธรรมราช” ก่อนสะเดาะกุญแจโซ่ตรวนพันธนาการหนีออกนอกประเทศได้อิสรภาพไป 222 วัน สุดท้ายสิ้นลายถูกจับกุมในประเทศอินโดนีเซียแน่นอนว่า “การหลบหนีของแป้ง นาโหนด มิใช่ธรรมดา” เพราะมีการวางแผน การไตร่ตรอง และการตระเตรียมไว้ล่วงหน้าเป็นแรมปีแถมยังมีพรรคพวกเครือข่ายให้การช่วยเหลือสนับสนุนการหลบซ่อนตัวอย่างดีจะเป็นใครกันบ้างมีคำตอบจาก พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ อดีตรอง ผบช.น. วิเคราะห์ให้ข้อมูลว่าตามหลักเรือนจำเป็นสถานคุมขังผู้ทำผิด “ตามคำพิพากษาของศาล” ทำให้มีความมั่นคงแข็งแรงสูงแล้วมีเจ้าหน้าที่ดูแลใกล้ชิดหลังกำแพงคอนกรีตเสริมเหล็ก “เสริมด้วยลวดหนาม” ทั้งบริเวณรอบแนวกำแพงยังมีระบบสายไฟแรงสูง และมีระบบกล้องวงจรปิดเฝ้าดู 24 ชม. ทำให้การจะหลบหนีออกจากเรือนจำไม่ใช่เรื่องง่ายส่วนใหญ่แล้วนักโทษมักใช้ช่วงโอกาสหลบหนีได้ 4 วิถีทาง คือ วิถีทางแรก ...“หลบหนีระหว่างถูกนำไปศาล” เพราะการรักษาความปลอดภัยน้อย เป็นจุดอ่อนสามารถชิงตัวประกันได้ง่ายอย่าง พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ จำเลยคดีอุ้มฆ่า ก็มีเคยวางแผนให้คนเข้ามาชิงตัวประกันระหว่างคุมตัวไปศาลแต่แผนแตกก่อนทำไม่สำเร็จทางที่สอง...“หลบหนีระหว่างรอขึ้นศาล” นักโทษทุกคนมาศาลต้องถูกพาไปคุมขังรวมกันห้องขังใต้ถุนศาลก่อน แล้วช่วงนี้ผู้ต้องขังมักใช้โอกาสวางแผนหนีที่อาจเกิดจากเจ้าหน้าที่พลั้งเผลอ หรือรู้เห็นปล่อยไปก็ได้ทางที่สาม...“หลบหนีระหว่างบำเพ็ญประโยชน์” มักเป็นนักโทษชั้นดีเกิดอารมณ์ชั่ววูบคิดถึงครอบครัวจึงตัดสินใจหนีก็มี ทางที่สี่...“เสแสร้งป่วย” เพื่อให้ถูกส่งโรงพยาบาลภายนอกตรงจุดนี้มีช่องโหว่หนีได้ง่าย สิ่งนี้ล้วนเป็นจุดอ่อนให้นักโทษวางแผนหลบหนีได้บ่อยๆ เพราะการจะหนีออกจากในเรือนจำโดยตรงทำยากมาก ถ้าเปรียบเทียบดูกรณี “แป้ง นาโหนด” เชื่อว่าวางแผนทำเป็นขบวนการใหญ่ ได้รับการช่วยเหลือจากนักการเมือง ตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่รัฐบางคนอย่างที่เห็นชัดๆ “เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์” เข้ามาช่วยให้ออกไปพบทันตกรรมด้วยอาการปวดฟัน “แต่หมอเลื่อนนัดล่วงหน้าแล้ว” ทำให้มีข้อสังเกตว่าทำไมยังถูกนำตัวออกจากเรือนจำอีกกลายเป็นโอกาสให้แกล้งวูบหมดสติรักษาต่อในโรงพยาบาล และเป็นช่องทางหลบหนีไปได้ สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าแป้ง นาโหนด วางแผนออกมานอกเรือนจำอันเป็นสถานที่ความมั่นคงสูงมานานเป็นแรมปีเนื่องจากก่อนหน้านี้ “แป้ง นาโหนด” เคยต้องโทษในเรือนจำกลางพัทลุง แต่ด้วยมีอิทธิพลในพื้นที่มากก็พยายามวางแผนหลบหนี ก่อนจะถูกย้ายเข้ามาในเรือนจำกลางนครศรีธรรมราชนี้กรณีย้ายมาเรือนจำใหม่ย่อมต้องใช้เวลาเรียนรู้ระบบภายในว่า “เจ้าหน้าที่คนใดรับผิดชอบงานไหน” แล้วเข้าตีสนิท กว่าจะซื้อใจกันได้ต้องใช้เวลาพอสมควร หรืออาจวางแผนกันมาตั้งแต่เรือนจำกลางพัทลุงก็ได้เมื่อหลบหนีได้แล้ว “เจ้าหน้าที่รัฐ” โดยเฉพาะตำรวจบางคนก็เข้ามาให้การช่วยเหลือนำพาหนีการติดตามจับกุมแน่นอน เพราะด้วยแป้ง นาโหนดเป็นคนกว้างขวางในพื้นที่แล้วกว่าจะก้าวมาเป็นผู้มีอิทธิพลระดับนี้ย่อมมีเจ้าหน้าที่รัฐ บุคคลในกระบวนการยุติธรรม และนักการเมือง คอยอยู่เบื้องหลังดันให้ใหญ่โตอยู่แล้ว ดังนั้น ต้องมีตำรวจบางคนเป็นหนอนบ่อนไส้คาบข่าวมาแจ้งให้ “เครือข่ายแป้ง นาโหนด” ล่วงรู้แผนการทำงานของชุดไล่ล่า ทำให้มักเดินนำหน้าเจ้าหน้าที่รัฐเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเส้นหลบเลี่ยงการติดตามจับกุม การหนีขึ้นกบดานบนเขาบรรทัด เพื่อตั้งหลักรอการประสานความช่วยเหลือต่างๆถัดมาคือ “นักการเมือง” ถ้าหากขุดคุ้ยดีๆจะรู้ว่า “แป้ง นาโหนด เป็นเด็กใคร” แล้วเป็นกลุ่มมีลูกน้องตั้งแต่ผู้ใหญ่บ้าน หรือกำนัน ช่วยโอบอุ้มแต่ละพื้นที่ค่อยส่งสัญญาณให้รู้ความเคลื่อนไหวเปิดเส้นทางให้หนีได้สะดวกสุดท้ายหนีออกนอกประเทศ “กบดานเมืองเมดาน ประเทศอินโดนีเซีย” ด้วยภูมิประเทศใกล้กับประเทศไทยขับเรือใช้เวลา 3-4 ชม.แล้วระหว่างอยู่ในต่างประเทศยังมีการไลฟ์สดตีแผ่การไม่ได้รับความเป็นธรรมได้หนำซ้ำยังปรากฎว่า “เช่าห้องคอนโดมิเนียมหรู” โดยมีนอมินีชาวอินโดนีเซียเป็นผู้เช่าให้แล้วระหว่างอาศัยอยู่ที่นั่น “ก็ปลอมพาสปอร์ตเป็นคนอาเจะห์” ทำให้เข้าไปอยู่ในระบบทะเบียนราษฎรของอินโดนีเซียและท่องเที่ยวอย่างสบายใจ แถมเข้าไปพัวพันกับการค้ายาเสพติดผิดกฎหมายอีกด้วยสะท้อนให้เห็นว่า “ผู้มีอิทธิพล นักการเมือง เจ้าหน้าที่รัฐคอยหนุน” จนคิดว่าตัวเองปลอดภัยก็ออกไปท่องเที่ยวโดยไม่ระวังตัว สุดท้ายต้องถูกจับกุมระหว่างบินไปเที่ยวที่เกาะบาหลี ดังนั้นทุกขั้นตอนในการหลบหนีของแป้ง นาโหนด ต้องมีการใช้จ่ายเงินไปหลายล้านบาททว่าการติดตามจับกุม “แป้ง นาโหนดใช้เวลา 222 วัน” ในเรื่องนี้ต้องเข้าใจกระบวนการสืบสวนของตำรวจมีความสลับซับซ้อนหลายขั้นตอน แล้วคนร้ายก็พยายามวางแผนสับขาหลอกตลอดเวลา ทำให้การสืบสวนตรวจสอบเป็นไปด้วยความล่าช้า แต่เมื่อใดก็ตามที่สถานการณ์นิ่งคนร้ายจะชะล่าใจมักต้องถูกจับทุกรายแม้ว่าจะหนีไปอยู่ต่างประเทศก็ตาม “แต่เรามีกลไกความร่วมมือระหว่างประเทศ” เพราะนับตั้งแต่แป้ง นาโหนด หนีออกจากเรือนจำ “ตำรวจ” มีการสืบสวนติดตามอยู่ตลอด 222 วัน เพียงแต่ไม่เป็นข่าวเท่านั้นกระทั่งก่อนหน้านี้ “มีคดีอุ้มเรียกค่าไถ่ชาวอินโดนีเซีย” ตำรวจอินโดนีเซียประสานมายังตำรวจไทยขอให้เข้าช่วยเหลือเหยื่อจนตามจับผู้ต้องหาได้ทั้งหมดเมื่อเดือน พ.ค.2567 แต่ในจำนวนผู้ต้องหากลับมีลูกน้องคนสนิท และญาติของแป้ง นาโหนด ทำให้สามารถปะติดปะต่อเชื่อมโยงการหลบหนีจับกุมแป้ง นาโหนด ได้ครั้งนี้ สำหรับหลังจากนี้ “กระบวนการดำเนินคดี” แน่นอนว่าหลักสำคัญคือ “คดีหลบหนีการควบคุม” ตาม ป.อาญา ม.190 ผู้ใดหลบหนีไประหว่างถูกคุมขังต้องโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท รวมถึงคดีถูกตัดสินไปแล้วอย่างร่วมกับพวกเข้าปล้นผู้ต้องหาจากตำรวจ ตัดสินจำคุก 20 ปี 6 เดือนทั้งยังมีคดีความในชั้นศาลอีกหลายคดีเกี่ยวกับยาเสพติด คดีอาวุธปืน และคดีความรุนแรง 11 คดี รวมถึงคดียิงต่อสู้กับตำรวจบนเขาบรรทัดอันเป็นการขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐ ดังนั้นแป้ง นาโหนด ถูกจับกุมครั้งนี้คงต้องอยู่ในการควบคุมของเรือนจำแบบความมั่นคงสูงสุดยาวนานแน่ๆ“โอกาสจะวางแผนหลบหนีซ้ำอีกเป็นไปได้ยาก ยิ่งกว่านั้นอาจถูกคุ้มครองอย่างไข่ในหินด้วยเป็นผู้มีข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมหรือนักการเมืองที่รู้เห็นเป็นใจช่วยให้หลบหนีด้วย ในเรื่องนี้กระทรวงยุติธรรมคงจะขยายผลเพียงแต่แป้ง นาโหนด อาจเปิดเผยเฉพาะคู่ขัดแย้ง แต่บุคคลช่วยเหลือหนีคงยากจะเปิดปาก” พล.ต.ต.วิชัย ว่าประเด็นถัดมา “กรณีทุ่มงบประมาณแผ่นดินไล่ล่าแป้ง นาโหนด” เรื่องนี้ต้องยอมรับเป็นคดีการหลบหนีที่สำคัญจาก “ผู้ต้องหาต้องโทษหลายคดี” ดังนั้น การหลบหนีย่อมก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบกระบวนการยุติธรรม “ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศตามมา” ถ้าหากยังไม่สามารถจับกุมตัวได้ในอีกแง่มุมหาก “แป้ง นาโหนดลอยนวล” ย่อมมีโอกาสก่อเหตุอาชญากรรมต่อผู้อื่นได้เสมอ สิ่งนี้อาจเป็นความสูญเสียที่ไม่สามารถประเมินเป็นค่าเงินได้ “การใช้งบประมาณ 10 ล้านบาท” ในการติดตามคนร้ายสำคัญเช่นนี้ถือว่าสมเหตุสมผล เพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายหลังหลบหนีไปนั้นดังนั้น เรื่องนี้คงต้องชั่งน้ำหนัก “ระหว่างความสูญเสียที่จะเกิดขึ้น และเงินต้องจ่ายไป” แม้จะจ่ายมากเพียงใดแต่สามารถจับตัวคนร้ายได้นับว่า “คุ้มค่า” เพราะเราต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของสังคมเป็นหลักเสมอทั้งหมดนี้คือ “ช่องโหว่ของกระบวนการยุติธรรม” อันเกิดจากหลักใหญ่สำคัญจาก “ระบบ บุคคล และผลประโยชน์” ถ้าหากสามารถแก้สามอย่างนี้ได้ ปัญหาก็จะไม่เกิดขึ้นแน่นอน...คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม