หมดหวังล่า 2 หนุ่มสาวชาวจีนฉกสร้อยข้อมือเพชร yellow gold ราคา 1 ล้านบาทเศษจากห้างดังเมืองกรุง หลังพบข้อมูลบินมาก่อเหตุโดยเฉพาะ มาถึงไทยไฟลท์เช้ากลับจีนเที่ยวทุ่มครึ่งทันทีหลังปฏิบัติการสำเร็จ ขณะที่ตำรวจเจอแท็กซี่ที่รับคนร้ายแล้วสอบปากคำไม่พบว่าเกี่ยวข้อง รับแต่ไปส่งที่ย่านชานเมืองเท่านั้นเหตุฉกสร้อยเพชรกลางห้างดังครั้งนี้เปิดเผยขึ้นเมื่อเวลา 18.36 น. วันที่ 16 เม.ย. พ.ต.ท.พิชัย รักษาคม สวป.สน.ปทุมวัน รับแจ้งเหตุคนร้ายลักทรัพย์เป็นสร้อยข้อมือเพชรจากร้าน Van Cleef & Arpels ชั้น M สยามพารากอน แขวงและเขตปทุมวัน กรุงเทพฯ ไปตรวจสอบพร้อมเจ้าหน้าที่สายตรวจ ฝ่ายสืบสวนและกองพิสูจน์หลักฐานที่เกิดเหตุพบนายโสมทัต อัศวนภากาศ อายุ 39 ปี ผู้จัดการร้าน ยืนรอให้การด้วยอาการตื่นตระหนกว่า ก่อนเกิดเหตุมีคนร้ายเป็นชายผิวขาว อายุ 25-30 ปี สวมเสื้อยืดแขนสั้นสีเทา กางเกงขายาวสีดำ ใส่แว่นสายตา ส่วนผู้หญิงสวมเสื้อยืดแขนสั้นสีเทา กางเกงขาสั้นสีดำ อายุไล่เลี่ยกันใส่แว่นสายตาและหมวกผ้าสีดำ ลักษณะเหมือนชาวต่างชาติ เดินเข้ามาในร้านบอกพนักงานขอดูสร้อยข้อมือเพชร รุ่น yellow gold มูลค่า 1,040,000 บาท ช่วงจังหวะพนักงานเผลอ ฝ่ายหญิงได้หยิบสร้อยข้อมือซุกซ่อนไว้ในแขนเสื้อข้างซ้าย ใช้โทรศัพท์มือถือบัง ส่วนฝ่ายชายทำทีเก็บโทรศัพท์มือถือเข้าในกระเป๋ากางเกงด้านขวา เหมือนสับขาหลอก แล้วรีบเดินออกจากร้านไปอย่างรวดเร็วก่อนเดินไปขึ้นรถแท็กซี่ส่วนบุคคล โตโยต้า โคโรลล่า สีเขียว-เหลือง ทะเบียน 1 มค 9327 กรุงเทพมหานคร หลบหนีไปจากนั้นเจ้าหน้าที่ได้วิทยุสกัดจับรถแท็กซี่คันดังกล่าว พบว่าได้วิ่งไปทางถนนเส้นพระรามเก้าแล้ววิ่งกลับมาขึ้นทางด่วนดินแดง มุ่งหน้าดอนเมือง แต่คลาดกันหวุดหวิด คาดว่าแท็กซี่คันดังกล่าวจะเป็นคนร้ายร่วมแก๊งเดียวกัน ขณะนี้กำลังตรวจสอบชื่อผู้ครอบครองเพื่อติดตามตัวคนร้ายแก๊งนี้มาดำเนินคดีต่อไปต่อมาเวลา 13.00 น. วันที่ 17 เม.ย. พ.ต.อ.อาคม ชุมพรัตน์ ผกก.สน.ปทุมวัน เรียกประชุมชุดสืบสวนเพื่อติดตามคดี มีรายงานว่าหลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ได้ติดตามคนขับรถแท็กซี่มาสอบสวนพบว่ารถคันดังกล่าวได้พาคนร้ายทั้งสองคนออกจากสยามพารากอนไปส่งที่ย่านชานเมือง แต่คนขับรถแท็กซี่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีได้สอบสวนไว้ในฐานะพยานมีรายงานจากชุดสืบสวน สน.ปทุมวัน ว่า หลังผู้ต้องหาทั้งสองก่อเหตุราว 17.30 น. วันที่ 16 เม.ย. หลังก่อเหตุเดินไปขึ้นรถแท็กซี่ส่วนบุคคล สีเขียว-เหลือง ออกจากห้างสยามพารากอน ก่อนจะไปลงที่บริเวณแยกปทุมวัน แท็กซี่คันดังกล่าวได้รับผู้โดยสารรายอื่นไปส่งบริเวณถนนพระราม 9 และรับผู้โดยสารอีกรายไปส่งที่ย่านดอนเมือง ทำให้เจ้าหน้าที่ยากต่อการติดตามตัว เนื่องจากมีความคลาดเคลื่อนในการรับส่งผู้โดยสารของแท็กซี่รายนี้ ต่อมาเจ้าหน้าที่ทราบว่าผู้ต้องหาทั้ง 2 เดินทางกลับไปประเทศจีน เมื่อช่วง 19.30 น. วันเดียวกันหลังก่อเหตุแนวทางสืบสวนยังพบว่า ผู้ต้องหาทั้งสองเดินทางเข้ามาเมืองไทยเพื่อก่อเหตุนี้โดยเฉพาะ เนื่องจากมาถึงเมืองไทยช่วงเวลา 06.00 น. ของวันที่ 16 เม.ย.แล้วเข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งย่านพญาไท ก่อนจะมาก่อเหตุในช่วงเย็นวันเดียวกัน และเดินทางกลับหลังก่อเหตุเสร็จหลบหนีด้วยการเดินทางบินกลับประเทศจีนทันทีอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่